วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเพณีวิ่งควาย

       ประเพณีวิ่งควาย เป็นงานประเพณีประจำจังหวัดชลบุรี เป็นหนึ่งในประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดชลบุรีที่มีการจัดมากว่า 100 ปีแล้ว ประเพณีวิ่งควาย เป็นประเพณีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 หรือก่อนออกพรรษา 1 วัน เพื่อเป็นการทำขวัญควายและให้ควายได้พักผ่อนหลังจากตรากตรำกับการงานในท้องนามายาวนาน นอกจากนี้ประเพณีวิ่งควายยังเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อควายที่เป็นสัตว์มีบุญคุณต่อชาวนาและคนไทยอีกทั้งยังเพื่อให้ชาวบ้านได้มีโอกาสพักผ่อนมาพบปะสังสรรค์กันในงานวิ่งควาย


ก็จะนำผลิตผลของตนบรรทุกเกวียนมาขายให้ชาวบ้านร้านตลาดไปพร้อมๆ กัน ต่างคนต่างก็ถือโอกาสมาพบปะสนทนากัน บ้างก็จูงควายเข้าเที่ยวตลาดจนกลายมาเป็นการแข่งขันวิ่งควายกันขึ้น และจากการที่ชาวไร่ชาวนาต่างก็พากันตกแต่งประดับประดาควายของตนอย่างสวยงามนี่เอง ทำให้เกิดการประกวดประชันความสวยงามของควายกันขึ้น พร้อมๆ ไปกับการแข่งขันวิ่งควาย

ปัจจุบัน ประเพณีวิ่งควายในเขตเทศบาลเมืองชลบุรี จะจัดในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 อำเภอบ้านบึงจัดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตลาดหนองเขิน อำเภอบ้านบึง จัดในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 วัดดอนกลาง ตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จัดวิ่งควายในวันทอดกฐินประจำปีของวัด  
        Traditional buffalo race. The annual festival of Chonburi. One of the unique heritage of the Province with more than 100 years old tradition of running buffalo. It is traditionally held every year on the day of the 14th lunar month or 11 days before the first round as compensation for cattle and buffalo to rest after toiling in the fields for a long time. The traditional buffalo race also expressed gratitude to the Buffalo Zoo are grateful to the farmers and Thailand as well as to provide recreational opportunities for residents to meet each other in the buff.

It is the brainchild of its freight wagons were sold to the locals shop at the same market, people had the opportunity to meet and discuss. I was led back to the Buffalo market and become a buffalo race each other up. And the farmers were bringing their beautifully decorated buffalo too. Make a beautiful buffalo contest championships are built concurrently with the running buffalo.

Current traditional buffalo race in Chonburi Municipality. Dinner will be held on the 14th day of the 11th month Banbung to 15 months in 11 markets in the waning days of the swamps dry Banbung one evening in the middle of the 11th Don Muang district pay for the running of the buffalo in the annual ceremony.

สถานที่ท่องเที่ยวของภูเก็ต

        หาดป่าตอง อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 15 กิโลเมตร นับว่าเป็นหาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของภูเก็ต เป็นชายหาดที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ร้านดำน้ำ ร้านขายอุปกรณ์กีฬาทางน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย ไว้คอยบริการแก่นักท่องเที่ยว ด้วยชายหาดที่มีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ป่าตองจึงเป็นหาดที่มีผู้นิยมมาเยือนมากที่สุด


หาดป่าตองถูกถล่มโดยคลื่นสึนามิจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ปัจจุบัน หาดป่าตองเป็นหนึ่งในหาดสำคัญที่ติดตั้งระบบเตือนภัยคลื่นสึนามิ มีการซ้อมอพยพและช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ  
Patong from Phuket town 15 kilometers to the northwest is the most famous beach of Phuket. The beach is equipped with facilities such as hotels, restaurants, water sports, dive shops and other facilities for tourists. The beach has a length of over 4 km and a full range of amenities. Patong Beach is the most popular visitor.

Patong was hit by a tsunami in the Indian Ocean earthquake on December 26, 2547 Current Patong Beach is one of the installed tsunami warning system. And assistance with evacuation drills regularly.

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โรคกรดไหลย้อน ภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม


Gastro-Esophageal Reflux Disease โรคกรดไหลย้อน ภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม
ลักษณะ นิสัยการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคนนั้นสามารถส่งผลกับสุขภาพร่างกายได้ เหมือนกัน ด้วยชีวิตที่รีบเร่งของคนในปัจจุบัน ประกอบกับพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ถูกต้อง และความเครียดจากเรื่องต่างๆ นำมาซึ่งปัญหาสุขภาพได้ อย่างเช่น ‘โรคกรดไหลย้อน' ที่เป็นภัยเงียบคุกคามคุณโดยรู้ตัว ซึ่งโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย แม้กระทั่งเด็กหรือสตรีมีครรภ์
stro-Esophageal Reflux Disease; GERD หรือ "โรคกรดไหลย้อน" กรดไหลย้อน คือภาวะที่มีกรด และน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจรวมไปถึงเอนไซม์เปบซินและน้ำดี ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งหลอดอาหารเป็นอวัยวะที่ไม่ทนต่อกรด จึงทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร โดยปกติแล้วหลอดอาหารจะมีการบีบตัวไล่อาหารลงสู่ด้านล่าง และหูรูดจะทำหน้าที่ป้องกันการไหลย้อนของน้ำย่อย กรด หรืออาหาร ไม่ให้ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร แต่ในบางคนนั้นหูรูดส่วนนี้ทำงานได้น้อยลง จึงทำให้มีกรดหรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาทำให้ผนังหลอดอาหารอักเสบ และการไหลย้อนของกรด ถ้ามีมาก อาจไหลออกนอกหลอดอาหาร อาจทำให้มีผลต่อกล่องเสียง ลำคอ หรือปอดได้ ถึงแม้โรคกรดไหลย้อนจะไม่ใช่โรคก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตดังกล่าวข้าง ต้น แต่หากละเลยไม่ทำการรักษา อาจทำให้เรื้อรัง มีความเสี่ยงให้กลายเป็น มะเร็งหลอดอาหารได้
อาการและสัญญาณที่เตือนว่า "โรคกรดไหลย้อน" มาเยือน ก็คือ ปวดแสบร้อนบริเวณกลางอก และหรือบริเวณลิ้นปี่ (heart burn), รู้สึกมีก้อนอยู่ในคอ, กลืนลำบากหรือกลืนแล้วเจ็บ, เจ็บคอหรือแสบลิ้นเรื้อรังโดยเฉพาะในตอนเช้า หรือไอแห้ง, รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดีหรือมีรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก, มีเสมหะอยู่ในคอหรือระคายคอตลอดเวลา เรอบ่อย คลื่นไส้ และรู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก คล้ายอาหารไม่ย่อย ซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะรุนแรงขึ้นหรือเกิดได้บ่อยขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเครียดและการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ดังนั้นเราจึงควรสังเกตตัวเองว่ามีอาการเหล่านี้บ่อยๆ หรือไม่ ถ้ามีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยควรรีบไปปรึกษาแพทย์จะดีกว่า
ส่วนปัจจัย ที่ทำให้เกิดหรือกระตุ้นโรคนี้ก็มีด้วยกันหลายอย่าง เช่น พฤติกรรมการกิน หรือกินอาหารที่ไม่ถูกต้อง อย่าง กินอาหารมื้อหนักตอนกลางคืนแล้วนอน กินอาหารไม่ตรงเวลา, การสวมเสื้อผ้าที่รวดรูปจนเกินไป, สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์, ท่านอนที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งควรนอนศีรษะเสมอหรือต่ำกว่าลำตัว, ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือโรค Hiatus hernia (เป็นโรคที่เกิดจากกระเพาะอาหารส่วนต้นเข้าไปในกระบังลม) , การมีน้ำหนักมากจนเกินไปด้วย และรวมความเครียดด้วย ฯลฯ
แม้ว่าโรค นี้จะไม่ใช่โรคที่มีอันตรายถึงชีวิตแต่ก็สามารถทำให้คุณภาพชีวิตที่ดีของเรา ลดลงได้ จากการศึกษาในประเทศอเมริกา พบว่า 60% ของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนมีอาการปานกลางถึงรุนแรง ซึ่งในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง โดย 75% นอนหลับยาก 51% รบกวนการทำงาน และอีก 40% ออกกำลังกายไม่ได้ หากคุณละเลยไม่ดูแลรักษา ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิด "มะเร็งหลอดอาหาร" ได้ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ควบคุมจัดการความเครียด, พฤติกรรมการรับประทานอาหาร จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรจะทำเป็นสิ่งแรก เมื่อรู้สึกว่ากรดไหลย้อน ให้ดื่มน้ำ กลืนน้ำลาย หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อช่วยสลายกรด หรือหากจำเป็นต้องรับประทานยาควรเลือกทานยาที่สามารถป้องกันการไหลย้อน ของกรด น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ถ้าหากมีอาการมากหรือบ่อยๆ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม

stro-Esophageal Reflux Disease; GERD or "acid reflux disease" is a condition in which the acid reflux. And pepsin in the stomach. The enzyme, which may include the city and the gall. Reflux up the esophagus. The esophagus is the organ that is resistant to acid. It causes inflammation of the esophagus. Normally, the esophagus will be forced to chase food down to the bottom. Sphincter function and prevent reflux of gastric acid and food to flow back up the esophagus. But in some parts of the sphincter to work less. It has acid reflux or digestive inflammation to the esophageal wall. If you have acid reflux and it may flow out of the esophagus. May affect the larynx, throat or lung disease even if acid reflux disease does not cause death, but if the above treatment fails. May cause chronic Risk to become Esophageal cancer is.

Symptoms and warning signs. "Reflux" visitor center is a burning pain. Or the Lignpie (heart burn), feel a lump in the throat, difficulty swallowing, or swallowing the pain, sore throat, or burning tongue, chronic, especially in the morning or dry cough, feeling like a bitter taste of bile and sour. of acid in the throat or mouth, or throat mucus in throat irritation, nausea, frequent burping all the time and feel tight in the chest malformation. Similar to indigestion. That these symptoms may be more severe or happen more often. Partly as a result of stress and modern lifestyle. Therefore, we should note that there are a lot of these symptoms, or if any of these symptoms occur, it should be better to consult a doctor.

The factors that cause or encourage diseases such as it has many different eating habits. Or eat the wrong way to eat a heavy meal at night to sleep. Not eating on time, wear clothing that is too fast, smoking, drinking alcohol, he or incorrect. Which should always lie head or lower body, certain drugs such as aspirin NSAIDs or disease groups Hiatus hernia (a disease of the stomach above the diaphragm), the weight is too much. And stress etc..

In this phase, the patient will have a poor quality of life by 75% to 51% of sleep is interfering with the work, and another 40% did not exercise. If you neglect maintenance. It is prone to. "Esophageal cancer", so to modify the behavior stress management, eating behaviors. Therefore, it is necessary that it should be the first thing. When you feel that acid reflux swallow or chew gum, drink water. To remove some of the acid. If you need a drug that can be administered to prevent reflux of gastric acid in the stomach. If the symptoms are very frequent. It should go to the doctor for further testing.



โยคะเพิ่มความสูง


อาหาร อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คุณมีความสูงที่เพิ่มขึ้นได้แต่การออกกำลังกายใน ท่วงท่าที่ถูกต้องก็สามารถช่วยได้คุณมีความสูงได้มากขึ้นเช่นกัน อาทิตย์นี้เราขอแนะนำท่าโยคะ 3 ท่าง่ายๆ ที่สามารถเพิ่มความสูงของคุณได้โดยไม่ต้องเจ็บตัวหรือเสียเงินแพงๆ สามารถทำได้ที่บ้าน นำไปบอกต่อหรือสอนลูกสาววัยกำลังโตก็ได้เช่นกัน ว่าแล้วก็เริ่มกันเลย


1. ท่าสุขอาสนะ
• เริ่มจากการนั่งขัดสมาธิกับพื้น หงายฝ่ามือทั้งสองข้างบนเข่า กำหนดลมหายใจเข้า-ออกให้ลึกๆ มีความสัมพันธ์กัน ทำแบบนี้อย่างน้อย 5 ครั้ง
• ยกแขนขึ้นให้เหนือศีรษะพร้อมๆ กับสูดลมหายใจเข้า-ออก แล้วค่อยๆ วางแขนลงช้าๆ ในขณะที่ปลอดลมหายใจออกช้าๆ
• ทำซ้ำท่าเดิมแบบนี้ 5-7 ครั้งค่ะ

2. ท่าสามเหลี่ยม
• ยืนแยกขาห่างจากกันประมาณ 90-120 ซม. ให้เท้าทั้งสองข้างขนานกัน
• หันเท้าซ้ายออกจากลำตัว 90 องศา และหันเท้าขวาเข้าหาลำตัว 45 องศาค่ะ
• หายใจเข้าพร้อมกับยกแขนขึ้นจากข้างลำตัวให้ขนานกับพื้น
• หายใจออกพร้อมแนบศรีษะให้ติดกับต้นแขนซ้าย ยืดขาซ้ายให้ตรง หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ เอนตัวไปทางด้านซ้ายจนสุด
• ยืดแขนซ้ายมาจับข้อเท้าซ้ายและยกแขนขวาขึ้นตั้งตรง แหงนศีรษะมองมือขวาและสูดลมหายใจเข้า-ออก ลึกๆ หลายๆ ครั้ง และทำท่าเดิมทางด้านขวาเช่นกันค่ะ
 
3. ท่าแมว
• ทำท่าคุกเข่าโดยให้หัวเข่าทั้งสองข้างอยู่ห่างกัน วางมือสองข้างให้ตรงกับหัวไหล่
• สูดลมหายใจเข้าพร้อมยกสะโพกขึ้น เอนตัวและแหงนหน้าขึ้นให้สุด
• ค่อยๆ ยืดตัวตรง และโก่งตัวขึ้น พร้อมกับก้มศีรษะมองลง
• กลับสู่ท่าปกติ และทำแบบนี้ซ้ำท่าเดิมหลายๆ ครั้งค่ะ

ทำ 3 ท่านี้อย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวันแค่นี้ก็สามารถเพิ่มความสูงให้กับคุณสาวๆ ได้เล็กน้อยพอประมาณแล้วค่ะ


วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิตามินอี


วิตามินอี เป็นวิตามินที่ช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายหลายระบบ และเป็นแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยให้เซลล์ต่างๆ รอดอันตรายจากท็อกซิน ช่วยชะลอความแก่ได้




ประโยชน์
 
เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญโดยมีออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดี


เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด ลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ

บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมาก

ช่วยในระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ตามปกติ

ช่วยให้ผิวพรรณสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น

ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้นและไม่อ่อนเพลียง่าย

แหล่งวิตามินอีวิตามินอีมีมากในน้ำมันจากธัญพืชและถั่วประเภทเปลือกแข็ง การเก็บรักษาให้วิตามินอีควรเก็บให้พ้นจากความร้อนแสงแดด รวมทั้งออกซิเจนในอากาศ การขัดสี การบด จะทำให้ญพืชสูญเสียวิตามินอีไปจำนวนมาก


ร่างกายคนเราต้องการวิตามินอีอยู่ที่วันละ 10-15 IU
แหล่งวิตามินในธรรมชาติ จำนวน ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ

น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำหนัก 100 กรัม 40 IU

น้ำมันดอกคำฝอย น้ำหนัก 100 กรัม 31.5 IU

น้ำมันข้าวโพด น้ำหนัก 100 กรัม 19 IU

น้ำมันถั่วเหลือง น้ำหนัก 100 กรัม 14.4 IU

กะหล่ำปลี น้ำหนัก 100 กรัม 6.4 IU

จมูกข้าวสาลี 1 ช้อนโต๊ะ 11-14 IU

เมล็ดทานตะวัน น้ำหนัก 100 กรัม 25 IU

ถั่วเปลือกแข็งประเภทอัลมอนด์ น้ำหนัก 100 กรัม 13.5 IU

มันเทศ น้ำหนัก 100 กรัม 6 IU

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ น้ำหนัก 100 กรัม 4.6 IU

อะโวคาโด (เฉพาะเนื้อ) น้ำหนัก 100 กรัม 4.5 IU

ปวยเล้ง น้ำหนัก 100 กรัม 3 IU


อันตรายจากการขาดวิตามินอี
 
โรคหัวใจกำเริบ วิตามินอีมีหน้าที่ในการจับสารที่เข้ามาทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขาดวิตามินอีทำให้สารเหล่านี้เข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมันในเลือดทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ก่อให้เกิดก้อนเลือดและที่สุดทำให้เกิดโรคหัวใจกำเริบได้


ระบบประสาทมีปัญหา ในกรณีของคนที่ร่างกายมีปัญหาในการดูดซึมไขมันและในเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด การได้รับวิตามินอีต่ำกว่าปริมาณที่กำหนดอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาทและเป็นโรคโลหิตจางได้ เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกายถูกทำลาย

อันตรายจากการได้รับวิตามินอีมากเกินไป หรือรับประทานเป็นประจำการได้รับวิตามินอีมากเกินไปจะทำให้รู้สึกปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนล้า ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย มีอาการอึดอัดในช่องท้อง ท้องร่วง หากร่างกายได้รับวิตามินอีสูงมากอาจขัดขวางการดูดซึมวิตามินเอซึ่งส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้า อย่างไรก็ตามผลการศึกษาระยะยาวในเพศชายวัยกลางคน กลับพบว่า การรับประทานวิตามิน อี (400 IU วันเว้นวัน) หรือวิตามิน ซี (500 mg ต่อวัน) ไม่ช่วยให้ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากหรือมะเร็งชนิดอื่นๆ ลดลงแต่อย่างใด Physicians’ Health Study II Randomized Controlled Trial มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงประสิทธิภาพของวิตามิน อี, ซี, และวิตามินรวม ในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคตา(ที่สัมพันธ์กับอายุ) รวมถึงผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น การศึกษานี้เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2541 และสิ้นสุดลงเมื่อสิงหาคม พ.ศ. 2551 (เฉพาะในส่วนของวิตามิน อี และ ซี) มีผู้เข้าร่วมในการศึกษาคือแพทย์ผู้ชาย ในประเทศสหรัฐอเมริกา อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 14,641 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่มที่ได้รับวิตามิน อี 400 IU วันเว้นวัน (n=3,659) กลุ่มที่ได้รับวิตามิน ซี 500 mg วันละครั้ง (n=3,673) กลุ่มที่ได้รับวิตามินเสริมทั้งสองชนิด (n=3,656) และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (n=3,653) จากการติดตามผลระยะยาวเป็นเวลา 8 ปี (117,711 person-years) ตรวจพบมะเร็งโดยรวมทุกชนิด 1,943 ราย แต่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก 1,008 ราย มีผู้เสียชีวิตระหว่างการศึกษา 1,661 ราย ในกลุ่มที่ได้รับวิตามิน อี และยาหลอก อัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก เท่ากับ 9.1 และ 9.5 [Hazard Ratio=0.97; 95%CI 0.85-1.09; P=.41] ส่วนอัตราการเกิดมะเร็งโดยรวมเท่ากับ 17.8 และ 17.3 ต่อ 1,000 person-years ตามลำดับ [Hazard Ratio=1.04; 95%CI 0.95-1.13; P=.41] ในกลุ่มที่ได้รับวิตามิน ซี เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก พบว่า อัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก เท่ากับ 9.4 และ 9.2 [Hazard Ratio=1.02; 95%CI 0.90-1.15; P=.80] ส่วนอัตราการเกิดมะเร็งโดยรวมเท่ากับ 17.6 และ 17.5 ต่อ 1,000 person-years ตามลำดับ [Hazard Ratio=1.01; 95%CI 0.92-1.10; P=.86] นอกจากนี้ ยังพบว่าการรับประทานวิตามิน อี หรือ ซี ไม่เกี่ยวข้องกันกับการเกิดมะเร็งเฉพาะที่ (site-specific cancers) เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และไม่มีผลต่ออาการข้างเคียงต่างๆ เช่น minor bleeding, GI symptoms, fatigue, drowsiness อย่างมีนัยสำคัญ




Vitamin E refers to a group of eight fat-soluble compounds that include both tocopherols and tocotrienols There are many different forms of vitamin E, of which γ-tocopherol is the most common in the North American diet. γ-Tocopherol can be found in corn oil, soybean oil, margarine and dressings. α-Tocopherol, the most biologically active form of vitamin E, is the second most common form of vitamin E in the North American diet. This variant of vitamin E can be found most abundantly in wheat germ oil, sunflower, and safflower oils.It is a fat-soluble antioxidant that stops the production of reactive oxygen species formed when fat undergoes oxidation


Health effectsWhile it was initially hoped that vitamin E supplementation would have a positive effect on health, research has not supported these conclusions. Vitamin E does not decrease mortality in adults, even at large doses, and may slightly increase it. It does not improve blood sugar control in an unselected group of people with diabetes mellitus or decrease the risk of stroke. Daily supplementation of vitamin E does not decrease the risk of prostate cancer and may increase it. Studies on its role in age related macular degeneration are ongoing as, even though it is of a combination of dietary antioxidants used to treat the condition, it may increase the risk. A Japanese study in 2012 found that vitamin E may contribute to osteoporosis





DeficiencyMain article: Vitamin E deficiency

Vitamin E deficiency can cause:



spinocerebellar ataxia[
myopathies
peripheral neuropathy
ataxia
skeletal myopathy
retinopathy
impairment of the immune response
erythrocyte hemolysis






วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

GAT / PAT คืออะไร


ความถนัดทั่วไป (GAT : General Aptitude Test)


การวัดศักยภาพในการเรียนในมหาวิทยาลัยให้ประสบความสำเร็จ แยกได้ 2 ส่วน คือ

1. ความสามารถในการอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์ และแก้โจทย์ปัญหา 50 %

2. ความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ 50 %


ลักษณะข้อสอบ GAT

1เนื้อหา

- การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์และการแก้โจทย์ ปัญหา(ทาง คณิตศาสตร์) 50%

- การสื่อสารด้วยภาษา อังกฤษ 50%

2. ลักษณะข้อสอบ GAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย

- คะแนนเต็ม 200 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง

- ข้อสอบ เน้น Content Free และ Fair

- เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก

- มีการออกข้อสอบเก็บไว้เป็นคลังข้อ สอบ

3. สอบปีละหลายครั้ง

- คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด (จะสอบ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้)



ความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ (PAT :Professional and Academic Aptitude Test) คือ ความรู้ที่เป็นพื้นฐานที่จะเรียนต่อในวิชาชีพนั้น ๆ กับศักยภาพที่จะเรียนในวิชาชีพนั้น ๆให้ประสบความสำเร็จ

มี 7 ประเภท คือ

1. PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์

2. PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์

3. PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์

4. PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์

5. PAT 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู

6. PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์

7. PAT 7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศรายละเอียดเกี่ยว กับ PAT


ลักษณะแนวข้อสอบ PAT

PAT 1 วัดศักยภาพทางคณิตศาสตร์

เนื้อหา เช่น Algebra, Probability and Statistics, Conversion,Geometry, Trigonometry,Calculus ฯลฯ



ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills



PAT 2 วัดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์

เนื้อหา ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, Earth Sciences, environment, ICT ฯลฯ



ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Sciences Reading Ability,Science Problem Solving Ability ฯลฯ



PAT 3 วัดศักยภาพทางวิศวกรรม ศาสตร์

เนื้อหา เช่น Engineering Mathematics, EngineeringSciences,Life Sciences, IT ฯลฯ



ลักษณะ ข้อสอบ Engineering Aptitude i.e. Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability



PAT 4 วัดศักยภาพทางสถาปัตยกรรมศาสตร์

เนื้อหา เช่น Architectural Math and Science ฯลฯ



ลักษณะข้อสอบ Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability ฯลฯ



PAT 5 วัดศักยภาพทาง ครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์

เนื้อหา ความรู้ในเนื้อหาภาษา ไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม วิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ลักษณะ ข้อสอบ ครุ ศึกษา (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills),ความรู้ทั่วไปเกี่ยว กับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนัก เรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ



PAT 6 วัดศักยภาพทางศิลปกรรมศาสตร์

เนื้อหา เช่น ทฤษฎีศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ความรู้ทั่วไปทาง ศิลป์ ฯลฯ

ลักษณะข้อสอบ PAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย

- คะแนนเต็มชุดละ 200 คะแนน เวลาสอบชุดละ 2 ชั่วโมง

- เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก

- มีการออกข้อสอบเก็บไว้ในคลังข้อ สอบ

การจัดสอบPAT จะจัดสอบเมื่อนักเรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยจัดสอบปีละ 2 ครั้ง

- คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่ สุด

General Aptitude (GAT: General Aptitude Test).


Measuring the potential for universities to achieve two separate parts.

A. The ability to read, write, think critically and solve problems 50%.

Two. The ability to communicate in English, 50%.





Test the GAT.

1 a.

- To read, write, think critically and solve problems (math) 50%.

- To communicate in English, 50%.

Two. The GAT test is objective and subjective.

- Score 200 points for the second hour.

- Test the Content Free and Fair.

- The overlap complexity (Complexity) more difficult.

- An examination of the Finance and Audit.

Three. Out several times a year.

- Rate for 2 years using the best score (to be sure the service. 4 time).



Professional and technical skills (PAT: Professional and Academic Aptitude Test) is a knowledge base that will continue in the profession with the potential to learn the profession. I make it a success.

There are seven categories.

1. PAT 1 mathematical aptitude.

2. PAT 2 scientific aptitude.

3. PAT 3 engineering students.

4. PAT 4 students of architecture.

5. PAT 5 students and teachers.

6. PAT 6 students of Fine Arts.

7. PAT 7 students in foreign languages, information about the PAT.





The picnic PAT.

PAT 1 measure of mathematical ability.

Content, such as Algebra, Probability and Statistics, Conversion, Geometry, Trigonometry, Calculus, etc..



The Test Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills.



The scientific potential of PAT 2.

The content of Biology, Chemistry, Physics, Earth Sciences, environment, ICT, etc..



The Test Perceptual Ability, Sciences Reading Ability, Science Problem Solving Ability, etc..



PAT 3 the potential of engineering science.

Content, such as Engineering Mathematics, EngineeringSciences, Life Sciences, IT, etc..



Test of Engineering Aptitude ie Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability.



PAT 4 the potential of architecture.

Content, such as Architectural Math and Science, etc..



Test of Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability, etc..



PAT 5 The Potential of Education / Education.

Content knowledge in math, science, social science content in English, anthropology, art, environmental health, etc..



Examination of teacher education (Pedagogy), Reading (Reading Skills), general knowledge. The study of Thailand. To solve the problem of student teachers, school administrators, etc..



PAT 6 The Potential of Fine Arts.

Content, such as the theory of art (visual arts, music, dance), etc. It is generally for art.



The PAT test is objective and subjective.

- A score of 200 points at the two-hour set.

- The overlap complexity (Complexity) more difficult.

- Are stored in the library and check out the test.



The PAT test is organized by students in grade 6 test 2 times a year.

- Score is 2 years with a good score.


วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

15 ประการที่ขโมยเวลาในการนอนหลับ

"เราต้องมองการหลับในมุมมองทั้งของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ" เป็นคำกล่าวของด็อกเตอร์รูบิน ไนแมน, Ph.D. นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของการนอนหลับและฝัน และเป็นศาสตราจารย์คลินิกของศูนย์ Integrative Medicine มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซน่า ในเมืองทูซอน "การแพทย์ดั้งเดิมเน้นไปทางด้านร่างกายโดยให้ความสนใจแก่จิตใจเพียงเล็กน้อย" ไนแมนยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "พอเราหันมามองภาพรวมเราก็จะเห็นหนทางใหม่ ๆ ที่ช่วยให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น"



ต่อไปนี้เป็นสาเหตุของปัญหา 15 ประการ หลายอย่างในนี้อาจทำให้คุณประหลาดใจที่จะช่วยแก้ปัญหาการนอนของคุณได้




1.คุณคิดว่าโยคะช่วยได้


การทำโยคะก่อนเข้านอนอาจทำให้นอนไม่หลับ ด็อกเตอร์ จูดิธ แฮนสัน ลาซาเตอร์, Ph.D. นักกายภาพบำบัดและผู้ฝึกสอนโยคะในเมืองซานฟรานซิสโกกล่าวว่า "แน่นอน เพราะการทำโยคะในช่วงดึกจะทำให้คุณตื่นตัว" หรือแม้จะทำโยคะด้วยท่าที่เชื่องช้าที่สุดก็ยังทำให้ตื่นตัวได้ และกล่าวต่อไปว่า "โดยตัวของมันเองแล้วการบริหารยืดร่างกายก็คือการกระตุ้นทางกายภาพนั่นเอง"

ดังนั้น แทนที่จะเล่นโยคะ ให้ทำการผ่อนคลายอย่างมีสติ และเตรียมร่างกายเพื่อการเข้านอนดังต่อไปนี้ : นอนลงบนพื้นและขาส่วนล่างวางไว้บนโซฟา ดังนั้น หัวเข่าคุณจะทำมุม 90 องศา วางหมอนใบเล็ก ๆ หรือผ้าขนหนูไว้ใต้ศีรษะและคอ แล้วเอามาปิดตาเพื่อบล็อกแสงสว่าง ลาซาเตอร์กล่าวว่า "นี่ช่วยลดการกระตุ้นศูนย์ประสาทในสมองที่คอยทำให้คุณตื่น" จากนั้นหายใจช้า ๆ ลึก ๆ และทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง


2.คุณทานอาหารตอนกลางคืน

เมื่อคุณล้มตัวลงนอนหลังรับประทานอาหารได้ไม่นาน กรดในกระเพาะสามารถไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร กล้ามเนื้อหูรูดที่ด้านล่างของหลอดอาหารที่ผ่อนคลายเกินไปคือตัวที่ทำให้เกิดปัญหา ทำให้รบกวนการนอน คือเกิดกรดไหลย้อน แต่ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่การรับประทานอาหารเย็นเวลาดึกทำให้เกิดปัญหา  เบธ เรีดอน, R.D. โภชนาการผสมผสานที่ Duke Integrative Medicine ในเมืองเดอร์แฮม มลรัฐนอร์ธแคโรไลน่า กล่าวว่า "ร่างกายของคุณจะวุ่นวายอยู่กับการย่อยอาหารเกินกว่าที่จะให้ความสำคัญในการนอนหลับ เพื่อการล้างพิษ สร้างเซลล์ใหม่ และฟื้นคืนชีวิตชีวา" เธอแนะนำให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอนเป็นเวลาอย่างน้อยสามชั่วโมง

ทางการแพทย์จีนแผนโบราณเชื่อว่านาฬิกาของอวัยวะมีลมปราณหรือพลังชีวิตไหลเวียนไปทั่วระบบอวัยวะต่าง ๆ ในช่วง 24 ชั่วโมง และเราต้องไม่ไปรบกวนจังหวะธรรมชาติเหล่านั้น

เดวิด สคริมจอย์, LAc. แพทย์ฝังเข็มและผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีนจากเมืองโบลเดอร์ มลรัฐโคโลราโด้ กล่าวว่า "ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณทานอาหารดึกเกินไป ลมปราณจะไม่ไหลเวียนอย่างถูกต้อง ผลก็คือคุณจะนอนหลับได้ไม่ดี และไม่สามารถฟื้นฟูต่อมอะดรีนัลและอวัยวะย่อยอาหาร"


3.ต้องเปลี่ยนน้ำมัน

กรดไขมันโอเมก้า-3 พบได้ในปลาที่มีไขมัน, วอลนัท, น้ำมันคาโนล่า และเมล็ดแฟล็กซ์ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้นอนหลับด้วย เรียดอนกล่าวว่า "ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเนื้อเยื่อสีเทาในสมองประกอบด้วยโอเมก้า-3 แล้วยังเป็นสารเริ่มต้นสำหรับสร้างเป็นเยื่อหุ้มเซลล์"


สารสื่อประสาทคือสารเคมีที่ช่วยส่งผ่านสัญญาณจากบริเวณหนึ่งในสมองไปยังบริเวณอื่น และสารสื่อประสาทบางตัว เช่น ซีโรโตนิน, โดพามีน, นอร์อีพิเนฟรีนและอะเซ็ททิลโคลีน เป็นตัวควบคุมว่าเราจะหลับหรือตื่น เรียดอนอธิบายว่า "หากคุณไปทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ตกอยู่ในอันตราย เช่น รับประทานไขมันชนิดทรานส์มากเกินไป (เป็นไขมันที่พบในอาหารอย่างเช่นเฟรนช์ฟราย, โดนัท, คุ้กกี้ และแคร็กเกอร์) และบริโภคโอเมก้า-3 ไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์เหล่านั้นไม่สามารถสื่อสารกันได้"

4.คุณดื่มแอลกอฮอล์




แน่นอนที่ไวน์แดงแก้วหนึ่งมีสารแอนติออกซิแดนท์ และช่วยให้นอนหลับได้จริงอยู่ แต่ตอนแรกแอลกอฮอล์จะทำตัวเป็นยากล่อมประสาท แต่พอผ่านไปสักสองสามชั่วโมงคุณจะหลุดออกจากวงจรการนอนหลับ แพทย์หญิงฟริสก้าแยน-โก, M.D. ผู้อำนวยการศูนย์แพทย์ความผิดปกติในการนอนหลับของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐคาลิฟอร์เนีย ณ เมืองลอสแองเจลิส กล่าวว่า "พอแอลกอฮอล์ถูกเมตาโบไลซ์หมด คุณก็จะตื่นขึ้นมากลางดึก" ดังนั้น ขอให้ดื่มในตอนอาหารเย็นเพียงหนึ่งแก้วอย่างน้อยสามชั่วโมงก่อนเข้านอน



5.ระดับคอร์ติโซลผิดปกติ



ต่อมอะดรีนัลของคุณผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ รวมทั้งนอร์อีพิเนฟริน (อะดรีนาลีน), คอร์ติโซล ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด และดีไฮโดรอีพิแอนโดรสเตอโรน (dehydroepiandosterone-DHEA เป็นฮอร์โมนที่ทำงานตรงกันข้ามกับคอร์ติโซล) เมื่อจังหวะวงจรการนอนหลับเป็นปกติและการตอบสนองต่อความเครียดเป็นปกติ ระดับคอร์ติโซลจะสูงในตอนเช้า และค่อย ๆ ลดลงตลอดทั้งวัน



"แต่พอผู้หญิงเกิดความเครียดเป็นเวลาหลาย ๆ ปี การตอบสนองของคอร์ติโซลก็จะเป็นในทางกลับกัน คือกลายเป็นว่ามีมากในตอนเย็น และมีน้อยในตอนเช้า" เป็นคำกล่าวของแพทย์หญิงคริสเทียนี นอร์ทรัป, M.D. แพทย์ผู้ทำการรักษาแบบผสมผสาน อยู่ที่เมืองยาร์เมาท์ มลรัฐเมน และเป็นผู้แต่งหนังสือ Women’s Bodies, Women’s Wisdom (Bantam) เมื่อระดับคอร์ติโซลเพิ่มขึ้นในตอนกลางคืน ก็จะมีปัญหากับการนอนหลับ เพราะทั้งจิตใจและร่างกายยังตื่นตัวอยู่ "คุณจะตรวจหาความเครียดจากต่อมอะดรีนัลนี้ได้จากการทดสอบธรรมดา ๆ"นอร์ทรัปกล่าว "คุณต้องทำการตรวจรูปแบบของฮอร์โมนคอร์ติโซล (adrenocortical profile) โดยการวัดระดับคอร์ติโซลจากน้ำลายในเวลาต่าง ๆ กันตลอดทั้งวัน"



6.คุณใช้ยาอยู่




แยก-โก กล่าวว่า "ยาที่รับประทานอาจะไปกระตุ้นหรือยับยั้งการทำงานของสมอง" ตัวอย่างเช่น ยาแก้ปวดบางชนิดมีคาเฟอีนอยู่ในส่วนผสม ดังนั้นให้ตรวจดูส่วนผสมในนั้นเสียก่อน ส่วนยาที่แพทย์ให้อย่างเช่น เบต้า-บล็อคเกอร์ ก็ยับยั้งการนอนหลับได้เช่นกัน



ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ ยาต้านความเครียดเป็นตัวขโมยการนอนหลับชั้นนำเลยทีเดียว การนอนไม่หลับเป็นอาการของความซึมเศร้า คุณจึงคาดหวังว่าจะต้องใช้ยาที่ทำให้หายเครียด "แต่ส่วนผสมที่เป็นตัวขัดขวางการเก็บซีโรโตนินกลับ (selective serotonin reuptake inhibitors-SSRIs อย่าง เช่น Paxil, Lexapro หรือ Prozac) เป็นตัวทำให้ซีโรโตนินหลั่งออกมาไม่หยุด เป็นผลให้ไปรบกวนการนอนหลับในหลายราย" ไนแมนกล่าว ให้พูดคุยกับแพทย์หากคุณคิดว่ายาที่กำลังรับประทานอยู่ไปรบกวนการนอนหลับ อาจมีทางเลือกอื่น หรือบางทีก็อาจปรับเปลี่ยนตารางรับประทานยาสำหรับยาที่ทำให้เกิดการกระตุ้นในตอนเช้า เป็นต้น



7.คุณออกกำลังกายหนักเกินไป



การออกกำลังกายช่วยให้นอนหลับดีขึ้น ตราบใดที่คุณยังทำไม่หนักเกินไป ในการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้จากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นในเมืองอีแวนสตัน มลรัฐอิลลินอยส์ พบว่า ผู้ใหญ่ที่ไม่ออกกำลังกายและมีอาการนอนไม่หลับจะนอนหลับได้ดีขึ้นและยาวนานขึ้น เมื่อมีการออกกำลังกายในระดับปานกลางครั้งละ 30 ถึง 40 นาที สัปดาห์ละสี่ครั้งเป็นเลา 16 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม แยน - โก กล่าวว่า "การออกกำลังกายมากเกินไปจะไปมีผลทางด้านลบต่อการนอนหลับ ไม่ใช่แค่ปัญหาที่ออกกำลังกายในเวลาดึกเกินไป-คุณอาจออกกำลังหนักเกินไป ไม่ว่าจะออกกำลังในเวลาไหนก็ตาม"



สคริมจอย์ เคยทำการรักษานักกีฬาหลายคนมาแล้วอธิบายว่า "พอคุณผลักดันตัวเองมากเกินไป ร่างกายก็จะหลังคอร์ติโซลส่วนเกินออกมา ซึ่งในช่วงสั้น ๆ จะมีผลในการนอนหลับ" เขากล่าว "ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปก็จะมีผลต่อการนอนตลอดทั้งคืน คนที่ออกกำลังกายหนักเกินไป จะมีปัญหาในการทำให้ตัวเองเยือกเย็นลง"



ดังนั้น ให้ลดการออกกำลังกายลงและทำให้สมดุลด้วยการออกกำลังช้า ๆ เบา ๆ เช่น ชี่กง, ไท้เก๊ก หรือโยคะ (แต่อย่าทำก่อนเข้านอน) การวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐคาลิฟอร์เนีย ณ เมืองลอสแองเจลิส แสดงให้เห็นว่าการเล่นไท้เก๊กครั้งละ 40 นาที สัปดาห์ละสามครั้งช่วยให้นอนหลับได้ยาวขึ้นและดีขึ้น






8.คุณวิตกกังวลมากเกินไป




นอร์ทรัปกล่าวว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความกังวลและคอยคิดอยู่แต่เรื่องเหล่านั้น เป็นความเจ็บปวดและทำให้รู้สึกไม่สบาย แล้วนำไปสู่การหลั่งฮอร์โมนความเครียดมากขึ้น ผลก็คือนอนไม่หลับ" ความวิตกกังวลรุนแรงขึ้นในตอนกลางคืน โดยหากความกังวลของคุณมีอยู่ในระดับต่ำ ๆ ในตอนกลางวัน คุณก็อาจจะไม่รู้สึกตัว แต่พอถึงเวลานอนและปิดไฟ เสียงกระซิบของความกังวลนั้นก็กลายเป็นเสียงดังสนั่นทันที



แล้วจะทำอย่างไรให้มันเงียบลงไปได้? มันก็เหมือนกับการแปรงฟันล้างหน้าก่อนนอน คือต้องทำใจให้โปร่งโล่ง การศึกษาหลายครั้งแสดงให้เห็นว่า การจดบันทึกสิ่งที่คุณกลัวมากที่สุดในตอนกลางคืนช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น



9.คุณออกกำลังกายดึกเกินไป



หากได้ออกกำลังกายในตอนเย็นจะดีกว่าการไม่ออกกำลังกายเลย อย่างไรก็ตาม "บางคนพบว่าการออกกำลังกายในตอนเย็นทำให้พวกเขาตื่นตัวและนอนไม่หลับ จะดีกว่าสำหรับคนพวกนี้หากจะออกกำลังกายในตอนเช้า" เป็นคำกล่าวของแพทย์หญิง แดพนี มิลเลอร์, M.D. จากเมืองซานฟรานซิสโก ให้เก็บเกี่ยวประโยชน์จากการออกกำลังในช่วงเช้า ไม่ว่าจะเดินออกกำลัง หรือขี่จักรยาน การได้รับแสงแดดธรรมชาติในตอนเช้าและตลอดทั้งวันจะช่วยให้วงจรการนอนหลับดีขึ้น



10.อาหารเย็นของคุณกระตุ้นมากเกินไป




คุณทราบดีว่าอย่าดื่มกาแฟก่อนเข้านอน คาเฟอีนมีครึ่งชีวิตอยู่ราวหกถึงเจ็ดชั่วโมง นั่นคือมั่นใช้เวลานานในการเมตาโบไลซ์สารนี้เพียงครึ่งเดียว แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ อาหารรสเผ็ดก็เป็นสิ่งต้องห้ามในตอนกลางคืน "มันทำให้เมตาโบลิซึ่มเกิดการกระตุกเหมือนคาเฟอีน" สคริมจอย์กล่าว "อาหารเย็น ๆ อย่างเช่นแตงโมให้ผลตรงกันข้าม การรับประทานในมื้อเย็นช่วยให้คุณนอนหลับได้"



อาหารเย็นที่มีเนื้อและมันฝรั่งก็ทำให้นอนไม่หลับ "โปรตีนจากสัตว์ โดยเฉพาะจากเนื้อวัว เป็นอาหารที่ย่อยยากกว่าโปรตีนจากพืช" เรียดอนกล่าว "หลังจากทานสเต๊กชิ้นใหญ่ ร่างกายก็จะวุ่นวายอยู่กับการย่อยแทนที่จะให้ความสนใจกับวงจรการนอนหลับ"



11.ร้อนเกินไป



ห้องนอนที่อุ่น หรือร้อนเกินไปไม่เหมาะกับการนอนหลับ แยน-โก กล่าวว่า "คุณต้องการสภาพแวดล้อมที่เย็น" อุณหภูมิของร่างกายจะค่อย ๆ ลดต่ำลงในขณะนอนหลับ และหากสภาพแวดล้อมอุ่นเกินไปจะทำให้คุณพลิกตัวไปมา



จากข้อมูลของมูลนิธิ National Sleep Foundation ระบุว่า อุณหภูมิที่สูงกว่า 75 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 25 องศาเซลเซียส (หรือต่ำกว่า 54 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 12 องศาเซลเซียส) จะไปรบกวนการนอนหลับ ไนแมนแนะนำให้อุณหภูมิอยู่ราว ๆ 86 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 20 องศาเซลเซียส (สำหรับคนไทยควรอยู่สัก 25 องศาเซลเซียส จะสบายกว่าและเป็นการประหยัดพลังงานด้วย - ผู้แปล)



12.คุณมีปัญหาต่อมไทรอยด์



ต่อมไทรอยด์ที่ทำงานมากเกินไปทำให้รู้สึกวิตกกังวลและไม่ได้พัก ทำให้หมดแรงและไม่สามารถนอนหลับลงได้ ในขณะที่ต่อไทรอยด์ที่ต่ำเกินไปก็รบกวนการนอนหลับเช่นกัน "บางคนที่ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยจะไม่สามารถตื่นได้เต็มตัว หรือมีพลังเต็มที่ตลอดทั้งวันเลยทีเดียว" ไนแมนกล่าว "เราจะนอนได้ดีขึ้น และหลับลึกขึ้นเมื่อเรามีพลังเต็มที่ในช่วงกลางวัน" นอกจากนี้ยารักษาต่อมไทรอยด์เป็นยากระตุ้น หากปริมาณที่ใช้ผิดเพี้ยนเพียงนิดเดียวก็จะทำให้นอนหลับไม่ลงได้



13.คุณป่วยด้วยการอักเสบเรื้อรัง




การอักเสบในระดับต่ำ ๆ ทั่วทั้งร่างกาย ซึ่งเกิดได้จากอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิต, มลภาวะในอากาศ, ความเครียด และปัจจัยซ่อนเร้น อื่น ๆ ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ, ความอ้วน, โรคเบาหวาน และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ แล้วกลายเป็นว่ามันทำให้คุณตื่นอยู่ตลอดคืน



"คนส่วนมากไม่ทราบว่าการอักเสบเรื้อรังมีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิของร่างกายที่เพิ่มขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็วัดออกมาได้" ไนแมนกล่าว



เราจำเป็นต้องทำให้ต่ำลง เพื่อที่จะนอนหลับได้ แต่การอักเสบก็ไปคอยกันไม่ให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลงอีก

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตช่วยได้ ให้เลิกอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ไปทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง เช่น คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี (คุ้กกี้, มันฝรั่งทอดและแคร็กเกอร์) และรับประทานโปรตีนที่ไม่มีไขมันมาก ๆ, กรดไขมันโอเมก้า-3, ธัญพืชขัดสีน้อย และผลไม้กับผัก เพื่อให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในการควบคุม และต่อต้านการอักเสบ



14.คุณไวต่ออาหารบางอย่าง



เรียดอน กล่าวว่า "การไวต่ออาหารเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนเราจะคิดถึงเกี่ยวกับการนอน ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น" อาหารที่มักไปกระตุ้นไม่ให้นอนหลับลง ได้แก่ ถั่วเหลือง, ถั่วเปลือกแข็ง, ข้าวสาลี, ช็อคโกแลต, ข้าวโพด และอาหารนม แต่การไวต่ออาหารไม่ได้อยู่ที่ระบบทางเดินอาหาร



"มันเริ่มขึ้นที่นั่น แต่หลังจากนั้นร่างกายจะมีปฏิกิริยาทั้งระบบ โดยเฉพาะหากมีความผิดปกติในการย่อยอาหารก็จะทำให้ไปรบกวน หรือแม้แต่ทำให้เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหารเสียหาย" เรียดอนกล่าว ซึ่งนี่มักเป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับผู้ทีมีประวัติใช้ยาแก้อักเสบประเภท NSAIDs (nonsteroidal anti-inflammatorydrugs เช่นแอสไพรินและ ibuprofen) เป็นระยะเวลายาวนาน ระบบภูมิคุ้มกันจะถูกกะรุต้น และระบบประสาทส่วนกลางตื่นตัวข้น รวมทั้งตัวคุณด้วย



หากคุณคิดว่าเกิดจากการไวต่ออาหาร ให้จดบันทึกอาหารที่รับประทานไว้ หมายเหตุไว้ด้วยว่ามีอาการเช่นไร แต่จำไว้ว่า การไวต่ออาหารมักมีปฏิกิริยาเกิดช้า ไม่ใช่ว่าทานอาหารค่ำปุ๊บจะทำให้นอนไม่หลับในคืนนั้น เพราะที่จริงมันอาจเกิดจากอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปเมื่อสองสามวันก่อนหน้า ดังนั้นให้ดูบันทึกย้อนหลังไปสักสามถึงสี่วัน พอคิดว่าพบตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว ก็หยุดรับประทานอาหารนั้นทีละอย่าง ๆ แล้วสังเกตดูว่าการนอนหลับดีขึ้นหรือไม่ เรียดอนกล่าวว่า "แล้วให้เวลาตัวเองราว ๆ สามเดือน ทางเดินอาหารต้องการเวลาในการรักษาตัว"



15.คุณมักจะตื่นตัวอยู่ตลอด



ในโลกที่วุ่นวายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงในหนึ่งวัน เจ็ดวันในหนึ่งสัปดาห์ ทำให้เรารู้สึกตึงเครียดอยู่ตลอด ไนแมนกล่าวว่า "สังคมของเราเป็นสังคมที่ตื่นอยู่เสมอ ทำให้เราท้อแท้ที่จะได้พบกับประสบการณ์ที่แท้จริง หรือสนุกสนานและเข้าใจกับการนอนและการหลับ" และบอกว่าพวกเราส่วนมากได้รับแรงกระตุ้นมากเกินไป ปรัชญาของพวกเราเน้นไปกับการเร่งรีบจนไม่สามารถชะลอตัวลงได้ในตอนกลางคืน แต่การเรียนรู้ถึงความสำคัญในการงีบหลับเสียบ้าง จะช่วยพวกเราได้มากในช่วงที่เราตื่นอยู่










วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คาถาป้องกันเส้นเลือดแตกในสมองให้กินกล้วยหอมประจำวันละ 3 มื้อ


หมอเมืองผู้ดีอังกฤษและเมืองมะกะโรนี บอกแนะนำให้กินกล้วยหอมมื้อละ 1 ลูก วันละ 3 มื้อ จะช่วยป้องกันโรคเลือดออกในสมอง อันเป็นโรคที่อันตราย ทำให้เกิดความพิการ หรือเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 21


วารสารวิชาการ“วิทยาลัยแพทย์โรคหัวใจอเมริกัน” รายงานว่า แพทย์มหาวิทยาลัยวอร์วิคของอังกฤษ และมหาวิทยาลัยเนเปิล แห่งอิตาลี ได้ร่วมกันศึกษา ทราบว่า หากกินกล้วยหอมวันละ 3 ลูก จะทำให้ร่างกายได้รับโปแตสเซียม วันละ 1,600 มิลลิกรัม จะลดโอกาสที่จะเกิดเลือดออกในสมอง ลงได้มากกว่า 1 ใน 5

กล้วยหอมแต่ละลูกจะมีโปแตสเซียม 500 มิลลิกรัม ซึ่งมีสรรพคุณลดความดันโลหิต และรักษาดุลของของเหลวในตัว หากร่างกายขาดโปแตสเซียมจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ กระวนกระวาย คลื่นเหียนอาเจียนและท้องร่วง

นักวิจัยกล่าวว่า หากคนเรากินอาหารที่อุดมด้วยโปแตสเซียม เช่น ถั่ว ถั่วแขกชนิดเม็ดแดงและเหลือง นม ปลา และผักโขม ลดการกินเกลือให้น้อยลง จะป้องกันไม่ให้เป็นโรคเลือดออกในสมองกันได้ ปีหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน.

He protects the blood vessels in the brain to eat a banana every day for three meals.

Doctor who is British and the macaroni. I recommend eating a banana a day for three meals a day will help prevent bleeding in the brain. A dangerous disease. Cause of disability. The death toll has reached 21 percent.


Journal, "College of Physicians, American Heart," the doctor reported that the University of Warwick in England. And University of Naples in Italy, with the note that you eat a banana a day, 3 will cause the body to get over potassium at 1600 mg to reduce the chance of bleeding in the brain by more than one in five.

Banana, each child will have over 500 milligrams of potassium, which claims to lower blood pressure. The balance of fluid in the body. If the potassium deficiency of potassium can cause irregular heartbeat, restlessness, nausea, vomiting and diarrhea.

The researchers say. If we eat foods rich in potassium, such as peas, beans, potassium tablets, red and yellow fish, milk and vegetables to eat less salt. To prevent bleeding in the brain as well as each year more than 1 million people.


วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

จับตาเลือกตั้งผู้นำฝรั่งเศส : มารู้จักผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส 2012

ทำความรู้จักกับผู้สมัครเลือกตั้งที่กำลังขับเคี่ยวคะแนน ใน 4 อันดับแรก ซึ่งพากันประชันนโยบายและสโลแกนเข้มๆ อาทิ ฝรั่งเศสเข้มแข็ง ของซาร์โกซี หรือ เปลี่ยนแปลง เดี๋ยวนี้ ของฟร็องซัวส์ ฮอลลองด์, ความเป็นมนุษย์ต้องมาก่อน ของ ชอง - ลุก เมลังชง




การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้สมัครทั้งสิ้นสิบคน โดยแต่ละคนผ่านการเลือกตั้งภายในพรรคแล้วเพื่อตัดสินว่าจะส่งใครลงสมัคร จากรูปภาพด้านบนซ้ายไปขวา






คนแรกคือ M. François HOLLANDE จากพรรคฝ่ายซ้าย Parti Socialiste,


M. Jean-Luc MÉLENCHON จากพรรคฝ่ายซ้าย Front de gauche ซึ่งมีความเป็นซ้ายมากกว่า Parti Socialiste,


M. Jacques CHEMINADE จากพรรค Solidarité et Progrès (S&P),


M. Nicolas SARKOZY จากพรรคฝ่ายขวา Union pour un mouvement populaire (UMP)


Mme Marine LE PEN จากพรรคฝ่ายขวาจัด Front national.,


Mme Nathalie ARTHAUD จากพรรคกรรมกรฝ่ายซ้ายจัด Lutte ouvrière (LO),


M. Philippe POUTOU จากพรรคฝ่ายซ้ายจัด Nouveau Parti anticapitaliste,


M. François BAYROUจากพรรคกลาง Mouvement démocrate (MoDem),


Mme Eva JOLY จากพรรคกรีน Primaire présidentielle écologiste de 2011.


และ M. Nicolas DUPONT-AIGNAN จากพรรคนิยมชาร์ล เดอ โกล Debout La République (DLR)



ประชาธิปไตยไม่ใช่การเลือกตั้ง แต่ประชาธิปไตยก็ขาดการเลือกตั้งไม่ได้ การเลือกตั้งจึงเป็นสิ่งสำคัญกับประชาชนในประเทศโดยเฉพาะในประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงอย่างฝรั่งเศสประชาชนทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างกระตือรือร้นในการใช้สิทธิใช้เสียงเสมือนเป็นส่วนหนึ่งผู้ได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้ง รวมถึงสื่อต่างๆไม่ว่าข่าวคราวในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในช่วงสองสามเดือนนี้ และรายการโทรทัศน์ในฝรั่งเศสต้องมีพื้นที่ไว้ให้แคมเปญผู้สมัครแต่ละคนออกมาดีเบตทางความคิดและโฆษณานโยบายของแต่ละผู้สมัคร ส่วนผู้สมัครเองก็ต้องทำงานอย่างหนักตระเวนออกไปหาเสียงเคาะประตูถึงบ้าน ในทุกๆเขตของHexagon หรือตามหมู่เกาะนอกอาณาเขตของฝรั่งเศส DOM, TOM เพราะทุกคะแนนเสียงมีค่าและไม่ได้มาจากมือที่มองไม่เห็นหรือราชรถมาเสยถึงบ้าน







การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสเป็นการเลือกตั้งสองรอบ โดยประชาชนมีสิทธิในการโหวตคนละหนึ่งคะแนนเสียง ซึ่งภายในรอบแรกจะเลือกตั้งในวันที่ 22เมษายนที่จะถึงนี้ เมื่อผลที่ได้มาแล้วจะนำเอาเฉพาะผู้สมัครสองคนที่ได้เสียงมากสุด มาทำการเลือกตั้งครั้งที่สองในวันที่ 6พฤษภาคม ซึ่งในขณะนี้ทางการฝรั่งเศสได้เริ่มเปิดโอกาสให้ประชาชนฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ต่างประเทศมาเลือกตั้งได้แล้ว การเลือกตั้งก็ไม่ได้ยุ่งยากอย่างบ้านเรา ปีนี้ทางการเปิดโอกาสให้โหวตเสียงผ่านทางอินเตอร์เนตเป็นครั้งแรก หรือสามารถไปคูหาเลือกตั้งที่มีอยู่783แห่ง โดยนำเอกสารแสดงตัวตนไปอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น พาสปอร์ต บัตรประชาชน เป็นต้น โดยไม่ต้องทำหนังสือแจ้งความจำนงกับทางการว่าจะเลือกตั้งก่อนแต่อย่างใด






10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี


ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก




1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง



2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี



3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว



4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ



5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ



6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล



7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%



8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย



9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด



10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้



ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!



วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ถ้าโครชอบกิน แกงเหลือง แกงเลียง แกงป่า แกงส้ม ขอแสดงความยินดีด้วยคับ…คุณมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยมาก…

แกงเหลือง
นักวิชาการโลกฟันธงแล้ว ชนิดอาหารก่อมะเร็ง
บริโภค ‘แกงเลียง’ ‘แกงเหลือง’ ต้านโรคได้
โรค ภัยที่คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกมาเป็นอันดับหนึ่งนั้นคือโรคหัวใจและหลอด เลือด โรคมะเร็งตามมาอยู่อันดับสอง หลายสิบปีมาแล้วที่วงการแพทย์ทั่วโลกพยายามหาสาเหตุของโรคมะเร็งแต่ละอวัยวะ เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไข เพื่อสรุปให้ได้ข้อชัดเจนเสียทีว่าการบริโภคหรือระบบโภชนาการของมนุษย์โลก เป็นสาเหตุของมะเร็งแต่ละชนิดได้แค่ไหน ล่าสุดหน่วยงาน เวิลด์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช ฟัน (World Cancer Research Fund) ร่วมกับ อเมริกัน อินสติติว ฟอร์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช (American Institue for Cancer Research) ได้ตัดสินและสรุปงานวิจัยกว่า 7,000 เรื่องที่ศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ของอาหาร การออกกำลังกาย ภาวะน้ำหนักเกิน และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก
ชนิพรรณ บุตรยี่ นักวิชาการจากสถาบัน โภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำงานวิจัยนี้มาบรรยายในงานประชุมเรื่อง “ความท้าทายทางพิษวิทยาในศตวรรษที่ 21” ว่า งานวิจัยใช้ระยะเวลาสรุปผล 5 ปี โดยนำงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างมากสุด ถึง 100,000 คน และบางชิ้นมีการเก็บข้อมูลนานนับ 10 ปี ใช้เงินทำวิจัยมหาศาล จึงจัดเป็นงานวิจัยที่น่าเชื่อถือและยึดเป็นข้อมูลทางวิชาการได้ ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่ชัดแล้ว โดยเน้นเรื่องการกินและการออกกำลังกายเป็นหลัก แบ่งเป็น 3 ระดับ
ข้อสรุปลำดับแรก
เป็นข้อบ่งชี้ที่แน่นอน เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอาหาร วิถีชีวิต การออกกำลังกาย สิ่งแวดล้อม โดยพบว่าการ ดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ทั้งวัยหมดประจำเดือนและก่อนมีประจำเดือน มะเร็งช่องปาก คอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (เฉพาะผู้ชาย) มีไขมันในร่างกายเกินจากค่าดัชนีมวลกายหลังจากอายุ 21 ปีไปแล้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม หลังหมดประจำเดือน มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งไต และเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากระดับไขมันที่เป็นส่วนเกินแล้วยังแยกย่อยออกมาอีกว่า คนที่อ้วนลงพุง มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้และทวารหนัก
สำหรับอาหารที่คลางแคลงใจกันมานานพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ในงานวิจัยนี้ฟันธงออกมาอย่างแน่ชัดแล้วว่าการ บริโภคเนื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว แกะ แพะ ในปริมาณที่สูงเกิน จะก่อมะเร็งลำไส้ มีคำแนะนำให้บริโภคเพียงสัปดาห์ละ ครึ่งกิโลกรัม ควร หันมาบริโภคเนื้อสีขาว อย่างเนื้อไก่ หมู หรือปลา รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก แฮม เบคอน อาหารเหล่านี้ต้อง รมควัน บางครั้งต้อง ปรุงรส ใช้เคมีเพื่อให้สี รสชาติและมวลของอาหารอยู่ครบ เป็นอาหาร ที่กินแล้วก่อมะเร็งเช่นกัน ที่น่าตกใจพบว่าการ บริโภคเบต้าแคโรทีน ในรูปแบบอาหารเสริม จะเร่งให้เกิดมะเร็ง แต่ เบต้าแคโรทีนจะให้ผลต่อร่างกายสูงสุดเมื่อ บริโภคผักผลไม้สด ๆ ที่มีสารเหล่านี้ ประเภทผลไม้สีเหลือง เช่น มะละกอ มะม่วง แครอท
ขณะเดียวกันเมื่อมนุษย์ขึ้นสู่วัยหนุ่มสาวออก กำลังกายแบบแอโรบิก ที่ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาที จนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งเต้านม (โดยเฉพาะหญิงวัยหมดประจำเดือน) และมะเร็งเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากนี้ผลวิจัยเป็นที่แน่นอนแล้วว่า แม่ควรให้นมลูกและเด็กทารกควรที่จะได้รับน้ำนมแม่ สามารถ ลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมทั้งก่อนและหลังหมดประจำเดือน ทั้งนี้ควรให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 6 เดือนโดยไม่มีการให้อาหาร หรือเครื่องดื่มใด ๆ เลย รวมทั้งน้ำด้วย
ต่อมาข้อสรุปลำดับที่ 2
เรียกว่า เป็นที่แน่นอนบ่งชัดเจน หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ในข้อนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในข้อแรกเชื่อได้ 90 เปอร์ เซ็นต์ ในข้อนี้เน้นหนักด้านอาหาร พบว่าการบริโภคผักใบ ลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งช่องปากคอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ผัก กลุ่มหอมป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร การบริโภคผลไม้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด ช่องปาก คอหอย กล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร
ลำดับที่ 3
ลด หลั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ลงมาภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือความสัมพันธ์ของอาหาร วิถีชีวิต ในข้อนี้เรียกว่ามีความเป็นไปได้พบว่าการบริโภคอาหารที่มีไลโคปีน ซึ่งมีมากในมะเขือเทศ ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก
นักวิชาการ คนเดิมจากสถาบันโภชนาการ ม.มหดิล บอกอีกว่า แม้สารไลโคปีนจะมีมากในมะเขือเทศ แต่ถ้าไม่ทำให้มะเขือป่นละเอียด บริโภคไปร่างกายก็ไม่ได้รับสารไลโคปีนอยู่ดี ดังนั้นการบริโภคมะเขือเทศสด แบบชิ้น ๆ กับการบริโภคซอสมะเขือเทศอย่างหลังได้รับ ไลโคปีนมากกว่า นอกจากในงานวิจัยเรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง นักวิชาการทั่วโลกแนะนำว่าไม่ควรบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกัน มะเร็ง เว้นแต่เจ็บป่วยหรือมีภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง
ปัจจุบัน พฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยเปลี่ยนไปโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและคนวัยหนุ่มสาว บริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ที่เห็นได้ชัดจากวัฒน ธรรมการกินอาหารบุฟเฟ่ต์ ร้านเนื้อย่างหมูกระทะต่าง ๆ สอดคล้องกับงานวิจัยนี้ ข้อแนะนำของการกินเพื่อต้านมะเร็งในแบบไทย ซึ่งแม้งานวิจัยยังไม่ได้ถูกเลือกจากนักวิชาการ เพราะเป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ตามอัตภาพของทุนที่มี แต่น่าชื่อถือและนำไปใช้ได้
ในงานประชุมดัง กล่าวข้างต้น ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล นักวิชาการจากสถาบันเดียวกัน ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง “ศักยภาพต้านมะเร็งของตำรับอาหารไทย”
ดร.สมศรี กล่าวว่า ได้ศึกษาเรื่องนำสมุนไพรต่างชนิดมาทำเป็นน้ำพริกแกงต่าง ๆ ได้ทดลองสารสกัดของน้ำพริกแกง 4 ชนิด ได้แก่
- น้ำพริกแกงป่า
- แกงเลียง
- แกงส้ม
- แกงเหลือง และ
- น้ำต้มยำ
นำมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่า น้ำแกงป่า น้ำแกงเลียง และน้ำแกงส้มมีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นในร่างกาย ได้มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่แกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่าเมื่อเทียบกัน ดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่า สมุนไพรสำคัญในเครื่องแกง น่าจะมาจากกระเทียมและพริกรวมทั้งสมุนไพรอื่นๆ
จาก งานวิจัยนี้สรุปได้ว่าการบริโภค อาหารที่เป็นสำรับแบบไทย อาทิ แกงเลียงกุ้งสด ห่อหมกใบยอ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ข้าวสวย หรือ สำรับ ข้าวเหนียว ส้มตำใส่ แครอท ไก่ทอดสมุนไพร ต้มยำ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง
สอดรับกับงานวิจัยระดับโลกที่ว่าอาหารการกินเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนห่างไกลมะเร็งได้อยู่

แกงส้มชะอมไข่กุ้งสด


ส่วนผสมเมนูแกงส้มที่ 1แกงส้มชะอมไข่กุ้งสด
ชะอม1 กำ
ไข่ไก่ 2 ฟอง
กุ้งสด 1 ขีด
ส่วนผสมพริกแกง
พริกขี้หนูแห้ง 10 เม็ด
หัวหอม 5 หัว
กระชาย 5 ราก
กะปิ 1 ช้อนตะ
มะขามเปียก 1 ขีด
ปลาสำลีแกะเนื้อ 1 ตัว



 

วิธีทำอาหาร เมนูแกงส้มที่ 1แกงส้มชะอมไข่กุ้งสด
1.โขลกเครื่องแกงทั้งหมดให้เข้ากัน ตั้งน้ำให้เดือด ใส่พริกแกงที่เสร็จแล้วลงไป 2.ปรุงรสด้วยน้ำตาลปึก น้ำปลาดี รสชาติตามชอบ
3. ตามด้วยกุ้งสดที่ผ่าหลัง ปลอกเปลือกเรียบร้อยลงไป
4.เด็ดชะอมตีผสมกับไข่ปรุงรสด้วยน้ำปลา ลงทอดยกขึ้นสะเด็ดน้ำมัน 5.แล้วหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นราดด้วยน้ำแกง ยกเสริฟ

 Cha a sour shrimp eggs.
The ingredients are sour. Cha a sour shrimp eggs.
Cha a bundle.
2 eggs.
A dash of fresh shrimp.
Curry paste mixture.
10 seed, dried chillies.
Onions, five heads.
5 Rhizome root.
1 tablespoon shrimp paste over.
Tamarind a draw.
Cotton, fish, lamb, 1.

How to cook the sour. Cha a sour shrimp eggs.
A. Pound all the spices together. The water to a boil. Curry paste is then put down. Two. Season with fish sauce and palm sugar to taste, taste good.
Three. Followed by a fresh cut on the back. Shell casings to complete.
Four. Cool Cha beat the mixture with the eggs and season with fish sauce. Fry up the drain. Five. Then cut into dices. I served it topped with relish.

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วันวาเลนไทน์


วันนักบุญวาเลนไทน์ (อังกฤษ: Saint Valentine's Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ

ประวัติ

วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโนซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด




ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่งกรุงโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีใจคอดุร้ายและทรงนิยมการทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็นความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”



วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้องหลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้



 นักบุญวาเลนไทน์

นักบุญวาเลนไทน์วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ วันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages เรื่องของ วันวาเลนไทน์ นี้ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ณ กรุงโรม หรืออาณาจักรโรมัน ในยุคของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) โดยที่จักรพรรดิพระองค์นี้ มีนิสัยชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น เขาได้สั่งให้ชาวโรมันทุกคน สักการะนับถือพระเจ้า 12 องค์ โดยผู้ที่ขัดขืนคำสั่งจะถูกทำโทษ รวมทั้งห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกคริสเตียนด้วย แต่นักบุณวาเลนตินุส (Valentinus) - valentine มีความเลื่อมใส ศรัทธาต่อพระคริสต์มาก เขาได้กล่าวไว้ว่า แม้กระทั่งความตายก็ไม่สามารถ เปลี่ยนความคิดของเขาได้ เขาจึงได้ถูกขังคุก



ช่วงอาทิตย์สุดท้ายในชีวิตของเขานั้นได้ มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น ขณะที่เขาถูกคุมขังอยู่นั้น ผู้คุมขังได้ขอให้วาเลนตินุส สอนลูกสาวเขาซึ่งตาบอดด้วย จูเลียเป็นคนสวยแต่น่าเสียดายที่เธอตาบอดตั้งแต่แรกเกิด วาเลนตินุสได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่าง ๆ สอนเลข และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง จูเลีย สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ โดยคำบอกเล่าของ วาเลนตินุส เธอเชื่อใจเขาและเธอมีความสุขมากเมื่ออยู่กับเขา



วันหนึ่งจูเลียถามวาเลนตินุสว่า “ถ้าเราอธิษฐาน พระผู้เป็นเจ้าจะได้ยินเราไหม” เขาตอบ “พระองค์เจ้า จะได้ยินเราแน่นอน ท่านได้ยินเราทุกคน” จูเลียกล่าว “ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าอธิษฐานขออะไรทุก ๆ เช้า ทุก ๆ เย็น...ข้าหวังว่า ข้าจะได้มองเห็นโลก เห็น ทุก ๆ อย่างที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง” วาเลนตินุสจึงบอก “พระเจ้ามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน เพียงแค่เรามีความเชื่อมั่นในพระองค์ท่าน เท่านั้นเอง”



จูเลีย ผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าจึงได้คุกเข่า กุมมืออธิษฐานพร้อมกับวาเลนตินุส และในขณะนั้นเอง ก็ได้มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น จูเลียค่อย ๆ ลืมตา แล้วเธอก็มองเห็น เขาและเธอจึงกล่าวขอบคุณต่อพระเจ้า และเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้ ได้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักร



ในคืนก่อนที่วาเลนตินุสจะสิ้นชีวิต โดยการถูกตัดศีรษะเขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า - From Your Valentine - เขาสิ้นชีพในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้น ศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินุส แต่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดร์และมิตรภาพอันสวยงาม



[แก้] การส่งดอกไม้วันวาเลนไทน์มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วดอกไม้ยังใช้สื่อความรักได้หลายรูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย



กุหลาบแดง (Red Rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ"

กุหลาบขาว (White Rose) : กุหลาบขาวแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์

กุหลาบชมพู (Pink Rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน

กุหลาบเหลือง (Yellow Rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส แทนความรักแบบเพื่อน

โดยในการมอบดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์นั้นเชื่อกันว่า จำนวนดอกกุหลาบที่มอบแก่กันนั้น มีความหมายต่อความรักกันอีกด้วย โดยได้แก่



1 ดอก หมายถึง ความรักแบบ รับแรกพบ

2 ดอก หมายถึงการแสดงความยินดี

3 ดอก แทนคำบอกรักว่า ฉันรักเธอ

7 ดอก แทนคำพูดที่ว่า เธอทำให้ฉันหลงเสน่ห์

9 ดอก แทนความหมายที่ว่า ทั้งสองคนจะรักกันตลอดไป

10 ดอก แทนความหมายว่า เธอเป็นคนที่ดีเลิศที่สุด

11 ดอก แทนความหมายว่า การเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของฉัน

12 ดอก แทนความหมายว่า การขอให้เธอเป็นคู่ฉัน

13 ดอก แทนความหมายว่า ความเป็นเพื่อนแท้เสมอ (ซึ่งอีกนัยหนึ่งคือ การบอกปฏิเสธด้วยความรักอย่างเพื่อน)

15 ดอก แทนความหมายว่า แทนความรู้สึกเสียใจจริง

20 ดอก แทนความหมายว่า ความจริงใจต่อกัน

21 ดอก แทนความหมายว่า ถึงการมอบชีวิตอุทิศให้

36 ดอก แทนความหมายว่า ความทรงจำที่แสนหวานที่ยังมีต่อกัน

40 ดอก แทนความหมายว่า ยืนยันว่าความรักเป็นรักแท้

99 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันรักเธอจนวันตาย

100 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ

101 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น

108 ดอก แทนความหมายถึงการขอแต่งงานแบบอ้อมๆ ที่ผู้ให้ไม่กล้าพูด

999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวินาทีสุดท้าย

1,000 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวันตาย

9,999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอชั่วนิรันดร
 
 
Le jour de la Saint-Valentin, le 14 février, est considéré dans de nombreux pays comme la fête des amoureux et de l'amitié. Les couples en profitent pour échanger des mots doux et des cadeaux comme preuves d’amour ainsi que des roses rouges qui sont l’emblème de la passion.




À l’origine fête de l’Église catholique romaine, le jour de la Saint-Valentin n’aurait pas été associé avec l’amour romantique avant le haut Moyen Âge mais avec l'amour physique. La fête est maintenant associée plus étroitement à l’échange mutuel de « billets doux » ou de valentins illustrés de symboles tels qu’un cœur ou un Cupidon ailé.



À l’envoi de billets au XIXe siècle a succédé l’échange de cartes de vœux. On estime qu’environ un milliard de ces cartes sont expédiées chaque année à l’occasion de la Saint-Valentin[1] ; ce chiffre paraît plus que suspect, quand on considère que cette fête est limitée par de nombreux aspects, aussi bien géographiques (la saint-Valentin n'est pas fêtée partout à travers « le monde »), financière (le nombre de personnes dans le monde ayant les moyens de se payer des loisirs de ce type), culturelle (les fleurs et les chocolats semblent beaucoup plus prisés que les cartes de vœux), sociale (part de célibataires dans la société). Ce chiffre ne serait battu que par le nombre de cartes échangées lors des fêtes de Noël.



Cependant, en Amérique du Nord, les échanges de cartes ne se font pas selon la conception européenne où la carte de Saint-Valentin est envoyée à une personne « unique ». Il n'est pas rare qu'une personne y envoie une dizaine de cartes, et même que des élèves d'école primaire en envoient à leur maîtresse d'école. Les chiffres indiqués deviennent en ce cas plus vraisemblables

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

อาเซียน

คำขวัญ: "One Vision, One Identity, One Community"


(หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม)

เพลงสดุดี: "ดิอาเซียนเวย์

สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อังกฤษ: Association of South East Asian Nations) หรือ อาเซียน เป็นองค์กรทางภูมิรัฐศาสตร์และองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน ลาว กัมพูชา เวียดนาม และพม่า อาเซียนมีพื้นที่ราว 4,435,570 ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 590 ล้านคน[3] ในปี พ.ศ. 2553 จีดีพีของประเทศสมาชิกรวมกันคิดเป็นมูลค่าราว 1.8 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ[4] คิดเป็นลำดับที่ 9 ของโลกเรียงตามจีดีพี มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ[1]




อาเซียนมีจุดเริ่มต้นจากสมาคมอาสา ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ แต่ได้ถูกยกเลิกไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 ได้มีการลงนามใน "ปฏิญญากรุงเทพ" อาเซียนได้ถือกำเนิดขึ้นโดยมีรัฐสมาชิกเริ่มต้น 5 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือในการเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม วัฒนธรรมในกลุ่มประเทศสมาชิก และการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค และเปิดโอกาสให้คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกอย่างสันติ หลังจาก พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา อาเซียนมีรัฐสมาชิกเพิ่มขึ้นจนมี 10 ประเทศในปัจจุบัน กฎบัตรอาเซียนได้มีการลงนามเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งทำให้อาเซียนมีสถานะคล้ายกับสหภาพยุโรปมากยิ่งขึ้นเขตการค้าเสรีอาเซียนได้เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2553 และกำลังก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งจะประกอบด้วยสามด้าน คือ ประชาคมอาเซียนด้านการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี พ.ศ. 2558


ประวัติ


การประชุมความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum)
สมาคมอาสาและปฏิญญากรุงเทพสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจุดเริ่มต้นนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยประเทศไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ได้ร่วมกันจัดตั้ง สมาคมอาสา (ASA, Association of South East Asia) ขึ้นเพื่อการร่วมมือกันทาง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แต่ดำเนินการได้เพียง 2 ปี ก็ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากความผกผันทางการเมืองระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย จนเมื่อทั้งสองฟื้นฟูสัมพันธภาพระหว่างกัน จึงได้มีการแสวงหาลู่ทางจัดตั้งองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจขึ้นในภูมิภาค "สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" และถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร โดยมีการลงนาม "ปฏิญญากรุงเทพ" ที่พระราชวังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 ซึ่งลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกก่อตั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ อาดัม มาลิกแห่งอินโดนีเซีย, นาร์ซิโซ รามอสแห่งฟิลิปปินส์, อับดุล ราซัคแห่งมาเลเซีย, เอส. ราชารัตนัมแห่งสิงคโปร์ และถนัด คอมันตร์แห่งไทย ซึ่งถูกพิจารณาว่าเป็นบิดาผู้ก่อตั้งองค์กร
ความประสงค์ของการจัดตั้งกลุ่มอาเซียนขึ้นมาเกิดจากความต้องการสภาพแวดล้อมภายนอกเพื่อที่ผู้ปกครองของประเทศสมาชิกจะสามารถมุ่งความสนใจไปที่การสร้างประเทศ ความกังวลต่อการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ร่วมกัน ความศรัทธาหรือความเชื่อถือต่อมหาอำนาจภายนอกที่เสื่อมถอยลงในช่วงพุทธทศวรรษ 2500 รวมไปถึงความต้องการการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การจัดตั้งกลุ่มอาเซียนมีวัตถุประสงค์แตกต่างจากสหภาพยุโรป เพราะกลุ่มอาเซียนถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนความเป็นชาตินิยม

การประชุม การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน


บิลบอร์ดในจาการ์ตาเพื่อต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 18ประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนได้จัดการประชุมขึ้น เรียกว่า การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซึ่งประมุขของรัฐบาลของแต่ละประเทศสมาชิกจะมาอภิปรายและแก้ไขประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมไปถึงการจัดการประชุมร่วมกับประเทศนอกกลุ่มสมาชิกเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ



การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งแรกจัดขึ้นที่จังหวัดบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ในปี พ.ศ. 2519 จากผลของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่สาม ณ กรุงมะนิลา ในปี พ.ศ. 2530 สรุปว่าผู้นำประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนควรจะจัดการประชุมขึ้นทุกห้าปี อย่างไรก็ตาม ผลของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งต่อมาที่ประเทศสิงคโปร์ ในปี พ.ศ. 2535 ได้เสนอให้จัดการประชุมให้บ่อยขึ้น และได้ข้อสรุปว่าจะมีการจัดการประชุมสุดยอดขึ้นทุกสามปีแทน ต่อมา ในปี พ.ศ. 2544 ผู้นำสมาชิกประเทศกลุ่มอาเซียนได้เสนอให้จัดการประชุมขึ้นทุกปีเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาด่วนที่ส่งผลกระทบในพื้นที่ ประเทศสมาชิกจะได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดขึ้นเรียงตามตัวอักษร ยกเว้นประเทศพม่า ซึ่งถูกยกเลิกการเป็นเจ้าภาพการประชุมในปี พ.ศ. 2549 เนื่องจากปัญหาทางด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547



การประชุมอาเซียนอย่างเป็นทางการมีกำหนดการสามวัน ดังนี้



ประมุขของรัฐสมาชิกจะจัดการประชุมภายใน

ประมุขของรัฐสมาชิกจะหารือร่วมกันกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในที่ประชุมกลุ่มอาเซียน

การประชุมที่เรียกว่า "อาเซียนบวกสาม" ประมุขของรัฐสมาชิกจะประชุมร่วมกับประมุขของสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยจัดขึ้นพร้อมกับการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน

การประชุมที่เรียกว่า "อาเซียน-เซอร์" ประมุขของรัฐสมาชิกจะประชุมร่วมกับประมุขของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์