วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิตามินอี


วิตามินอี เป็นวิตามินที่ช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายหลายระบบ และเป็นแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยให้เซลล์ต่างๆ รอดอันตรายจากท็อกซิน ช่วยชะลอความแก่ได้




ประโยชน์
 
เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญโดยมีออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดี


เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด ลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ

บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมาก

ช่วยในระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ตามปกติ

ช่วยให้ผิวพรรณสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น

ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้นและไม่อ่อนเพลียง่าย

แหล่งวิตามินอีวิตามินอีมีมากในน้ำมันจากธัญพืชและถั่วประเภทเปลือกแข็ง การเก็บรักษาให้วิตามินอีควรเก็บให้พ้นจากความร้อนแสงแดด รวมทั้งออกซิเจนในอากาศ การขัดสี การบด จะทำให้ญพืชสูญเสียวิตามินอีไปจำนวนมาก


ร่างกายคนเราต้องการวิตามินอีอยู่ที่วันละ 10-15 IU
แหล่งวิตามินในธรรมชาติ จำนวน ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ

น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำหนัก 100 กรัม 40 IU

น้ำมันดอกคำฝอย น้ำหนัก 100 กรัม 31.5 IU

น้ำมันข้าวโพด น้ำหนัก 100 กรัม 19 IU

น้ำมันถั่วเหลือง น้ำหนัก 100 กรัม 14.4 IU

กะหล่ำปลี น้ำหนัก 100 กรัม 6.4 IU

จมูกข้าวสาลี 1 ช้อนโต๊ะ 11-14 IU

เมล็ดทานตะวัน น้ำหนัก 100 กรัม 25 IU

ถั่วเปลือกแข็งประเภทอัลมอนด์ น้ำหนัก 100 กรัม 13.5 IU

มันเทศ น้ำหนัก 100 กรัม 6 IU

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ น้ำหนัก 100 กรัม 4.6 IU

อะโวคาโด (เฉพาะเนื้อ) น้ำหนัก 100 กรัม 4.5 IU

ปวยเล้ง น้ำหนัก 100 กรัม 3 IU


อันตรายจากการขาดวิตามินอี
 
โรคหัวใจกำเริบ วิตามินอีมีหน้าที่ในการจับสารที่เข้ามาทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขาดวิตามินอีทำให้สารเหล่านี้เข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมันในเลือดทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ก่อให้เกิดก้อนเลือดและที่สุดทำให้เกิดโรคหัวใจกำเริบได้


ระบบประสาทมีปัญหา ในกรณีของคนที่ร่างกายมีปัญหาในการดูดซึมไขมันและในเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด การได้รับวิตามินอีต่ำกว่าปริมาณที่กำหนดอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาทและเป็นโรคโลหิตจางได้ เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกายถูกทำลาย

อันตรายจากการได้รับวิตามินอีมากเกินไป หรือรับประทานเป็นประจำการได้รับวิตามินอีมากเกินไปจะทำให้รู้สึกปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนล้า ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย มีอาการอึดอัดในช่องท้อง ท้องร่วง หากร่างกายได้รับวิตามินอีสูงมากอาจขัดขวางการดูดซึมวิตามินเอซึ่งส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้า อย่างไรก็ตามผลการศึกษาระยะยาวในเพศชายวัยกลางคน กลับพบว่า การรับประทานวิตามิน อี (400 IU วันเว้นวัน) หรือวิตามิน ซี (500 mg ต่อวัน) ไม่ช่วยให้ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากหรือมะเร็งชนิดอื่นๆ ลดลงแต่อย่างใด Physicians’ Health Study II Randomized Controlled Trial มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงประสิทธิภาพของวิตามิน อี, ซี, และวิตามินรวม ในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคตา(ที่สัมพันธ์กับอายุ) รวมถึงผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น การศึกษานี้เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2541 และสิ้นสุดลงเมื่อสิงหาคม พ.ศ. 2551 (เฉพาะในส่วนของวิตามิน อี และ ซี) มีผู้เข้าร่วมในการศึกษาคือแพทย์ผู้ชาย ในประเทศสหรัฐอเมริกา อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 14,641 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่มที่ได้รับวิตามิน อี 400 IU วันเว้นวัน (n=3,659) กลุ่มที่ได้รับวิตามิน ซี 500 mg วันละครั้ง (n=3,673) กลุ่มที่ได้รับวิตามินเสริมทั้งสองชนิด (n=3,656) และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (n=3,653) จากการติดตามผลระยะยาวเป็นเวลา 8 ปี (117,711 person-years) ตรวจพบมะเร็งโดยรวมทุกชนิด 1,943 ราย แต่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก 1,008 ราย มีผู้เสียชีวิตระหว่างการศึกษา 1,661 ราย ในกลุ่มที่ได้รับวิตามิน อี และยาหลอก อัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก เท่ากับ 9.1 และ 9.5 [Hazard Ratio=0.97; 95%CI 0.85-1.09; P=.41] ส่วนอัตราการเกิดมะเร็งโดยรวมเท่ากับ 17.8 และ 17.3 ต่อ 1,000 person-years ตามลำดับ [Hazard Ratio=1.04; 95%CI 0.95-1.13; P=.41] ในกลุ่มที่ได้รับวิตามิน ซี เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก พบว่า อัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก เท่ากับ 9.4 และ 9.2 [Hazard Ratio=1.02; 95%CI 0.90-1.15; P=.80] ส่วนอัตราการเกิดมะเร็งโดยรวมเท่ากับ 17.6 และ 17.5 ต่อ 1,000 person-years ตามลำดับ [Hazard Ratio=1.01; 95%CI 0.92-1.10; P=.86] นอกจากนี้ ยังพบว่าการรับประทานวิตามิน อี หรือ ซี ไม่เกี่ยวข้องกันกับการเกิดมะเร็งเฉพาะที่ (site-specific cancers) เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และไม่มีผลต่ออาการข้างเคียงต่างๆ เช่น minor bleeding, GI symptoms, fatigue, drowsiness อย่างมีนัยสำคัญ




Vitamin E refers to a group of eight fat-soluble compounds that include both tocopherols and tocotrienols There are many different forms of vitamin E, of which γ-tocopherol is the most common in the North American diet. γ-Tocopherol can be found in corn oil, soybean oil, margarine and dressings. α-Tocopherol, the most biologically active form of vitamin E, is the second most common form of vitamin E in the North American diet. This variant of vitamin E can be found most abundantly in wheat germ oil, sunflower, and safflower oils.It is a fat-soluble antioxidant that stops the production of reactive oxygen species formed when fat undergoes oxidation


Health effectsWhile it was initially hoped that vitamin E supplementation would have a positive effect on health, research has not supported these conclusions. Vitamin E does not decrease mortality in adults, even at large doses, and may slightly increase it. It does not improve blood sugar control in an unselected group of people with diabetes mellitus or decrease the risk of stroke. Daily supplementation of vitamin E does not decrease the risk of prostate cancer and may increase it. Studies on its role in age related macular degeneration are ongoing as, even though it is of a combination of dietary antioxidants used to treat the condition, it may increase the risk. A Japanese study in 2012 found that vitamin E may contribute to osteoporosis





DeficiencyMain article: Vitamin E deficiency

Vitamin E deficiency can cause:



spinocerebellar ataxia[
myopathies
peripheral neuropathy
ataxia
skeletal myopathy
retinopathy
impairment of the immune response
erythrocyte hemolysis






วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

GAT / PAT คืออะไร


ความถนัดทั่วไป (GAT : General Aptitude Test)


การวัดศักยภาพในการเรียนในมหาวิทยาลัยให้ประสบความสำเร็จ แยกได้ 2 ส่วน คือ

1. ความสามารถในการอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์ และแก้โจทย์ปัญหา 50 %

2. ความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ 50 %


ลักษณะข้อสอบ GAT

1เนื้อหา

- การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์และการแก้โจทย์ ปัญหา(ทาง คณิตศาสตร์) 50%

- การสื่อสารด้วยภาษา อังกฤษ 50%

2. ลักษณะข้อสอบ GAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย

- คะแนนเต็ม 200 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง

- ข้อสอบ เน้น Content Free และ Fair

- เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก

- มีการออกข้อสอบเก็บไว้เป็นคลังข้อ สอบ

3. สอบปีละหลายครั้ง

- คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด (จะสอบ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้)



ความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ (PAT :Professional and Academic Aptitude Test) คือ ความรู้ที่เป็นพื้นฐานที่จะเรียนต่อในวิชาชีพนั้น ๆ กับศักยภาพที่จะเรียนในวิชาชีพนั้น ๆให้ประสบความสำเร็จ

มี 7 ประเภท คือ

1. PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์

2. PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์

3. PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์

4. PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์

5. PAT 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู

6. PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์

7. PAT 7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศรายละเอียดเกี่ยว กับ PAT


ลักษณะแนวข้อสอบ PAT

PAT 1 วัดศักยภาพทางคณิตศาสตร์

เนื้อหา เช่น Algebra, Probability and Statistics, Conversion,Geometry, Trigonometry,Calculus ฯลฯ



ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills



PAT 2 วัดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์

เนื้อหา ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, Earth Sciences, environment, ICT ฯลฯ



ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Sciences Reading Ability,Science Problem Solving Ability ฯลฯ



PAT 3 วัดศักยภาพทางวิศวกรรม ศาสตร์

เนื้อหา เช่น Engineering Mathematics, EngineeringSciences,Life Sciences, IT ฯลฯ



ลักษณะ ข้อสอบ Engineering Aptitude i.e. Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability



PAT 4 วัดศักยภาพทางสถาปัตยกรรมศาสตร์

เนื้อหา เช่น Architectural Math and Science ฯลฯ



ลักษณะข้อสอบ Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability ฯลฯ



PAT 5 วัดศักยภาพทาง ครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์

เนื้อหา ความรู้ในเนื้อหาภาษา ไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม วิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ลักษณะ ข้อสอบ ครุ ศึกษา (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills),ความรู้ทั่วไปเกี่ยว กับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนัก เรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ



PAT 6 วัดศักยภาพทางศิลปกรรมศาสตร์

เนื้อหา เช่น ทฤษฎีศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ความรู้ทั่วไปทาง ศิลป์ ฯลฯ

ลักษณะข้อสอบ PAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย

- คะแนนเต็มชุดละ 200 คะแนน เวลาสอบชุดละ 2 ชั่วโมง

- เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก

- มีการออกข้อสอบเก็บไว้ในคลังข้อ สอบ

การจัดสอบPAT จะจัดสอบเมื่อนักเรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยจัดสอบปีละ 2 ครั้ง

- คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่ สุด

General Aptitude (GAT: General Aptitude Test).


Measuring the potential for universities to achieve two separate parts.

A. The ability to read, write, think critically and solve problems 50%.

Two. The ability to communicate in English, 50%.





Test the GAT.

1 a.

- To read, write, think critically and solve problems (math) 50%.

- To communicate in English, 50%.

Two. The GAT test is objective and subjective.

- Score 200 points for the second hour.

- Test the Content Free and Fair.

- The overlap complexity (Complexity) more difficult.

- An examination of the Finance and Audit.

Three. Out several times a year.

- Rate for 2 years using the best score (to be sure the service. 4 time).



Professional and technical skills (PAT: Professional and Academic Aptitude Test) is a knowledge base that will continue in the profession with the potential to learn the profession. I make it a success.

There are seven categories.

1. PAT 1 mathematical aptitude.

2. PAT 2 scientific aptitude.

3. PAT 3 engineering students.

4. PAT 4 students of architecture.

5. PAT 5 students and teachers.

6. PAT 6 students of Fine Arts.

7. PAT 7 students in foreign languages, information about the PAT.





The picnic PAT.

PAT 1 measure of mathematical ability.

Content, such as Algebra, Probability and Statistics, Conversion, Geometry, Trigonometry, Calculus, etc..



The Test Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills.



The scientific potential of PAT 2.

The content of Biology, Chemistry, Physics, Earth Sciences, environment, ICT, etc..



The Test Perceptual Ability, Sciences Reading Ability, Science Problem Solving Ability, etc..



PAT 3 the potential of engineering science.

Content, such as Engineering Mathematics, EngineeringSciences, Life Sciences, IT, etc..



Test of Engineering Aptitude ie Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability.



PAT 4 the potential of architecture.

Content, such as Architectural Math and Science, etc..



Test of Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability, etc..



PAT 5 The Potential of Education / Education.

Content knowledge in math, science, social science content in English, anthropology, art, environmental health, etc..



Examination of teacher education (Pedagogy), Reading (Reading Skills), general knowledge. The study of Thailand. To solve the problem of student teachers, school administrators, etc..



PAT 6 The Potential of Fine Arts.

Content, such as the theory of art (visual arts, music, dance), etc. It is generally for art.



The PAT test is objective and subjective.

- A score of 200 points at the two-hour set.

- The overlap complexity (Complexity) more difficult.

- Are stored in the library and check out the test.



The PAT test is organized by students in grade 6 test 2 times a year.

- Score is 2 years with a good score.


วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

15 ประการที่ขโมยเวลาในการนอนหลับ

"เราต้องมองการหลับในมุมมองทั้งของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ" เป็นคำกล่าวของด็อกเตอร์รูบิน ไนแมน, Ph.D. นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของการนอนหลับและฝัน และเป็นศาสตราจารย์คลินิกของศูนย์ Integrative Medicine มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซน่า ในเมืองทูซอน "การแพทย์ดั้งเดิมเน้นไปทางด้านร่างกายโดยให้ความสนใจแก่จิตใจเพียงเล็กน้อย" ไนแมนยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "พอเราหันมามองภาพรวมเราก็จะเห็นหนทางใหม่ ๆ ที่ช่วยให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น"



ต่อไปนี้เป็นสาเหตุของปัญหา 15 ประการ หลายอย่างในนี้อาจทำให้คุณประหลาดใจที่จะช่วยแก้ปัญหาการนอนของคุณได้




1.คุณคิดว่าโยคะช่วยได้


การทำโยคะก่อนเข้านอนอาจทำให้นอนไม่หลับ ด็อกเตอร์ จูดิธ แฮนสัน ลาซาเตอร์, Ph.D. นักกายภาพบำบัดและผู้ฝึกสอนโยคะในเมืองซานฟรานซิสโกกล่าวว่า "แน่นอน เพราะการทำโยคะในช่วงดึกจะทำให้คุณตื่นตัว" หรือแม้จะทำโยคะด้วยท่าที่เชื่องช้าที่สุดก็ยังทำให้ตื่นตัวได้ และกล่าวต่อไปว่า "โดยตัวของมันเองแล้วการบริหารยืดร่างกายก็คือการกระตุ้นทางกายภาพนั่นเอง"

ดังนั้น แทนที่จะเล่นโยคะ ให้ทำการผ่อนคลายอย่างมีสติ และเตรียมร่างกายเพื่อการเข้านอนดังต่อไปนี้ : นอนลงบนพื้นและขาส่วนล่างวางไว้บนโซฟา ดังนั้น หัวเข่าคุณจะทำมุม 90 องศา วางหมอนใบเล็ก ๆ หรือผ้าขนหนูไว้ใต้ศีรษะและคอ แล้วเอามาปิดตาเพื่อบล็อกแสงสว่าง ลาซาเตอร์กล่าวว่า "นี่ช่วยลดการกระตุ้นศูนย์ประสาทในสมองที่คอยทำให้คุณตื่น" จากนั้นหายใจช้า ๆ ลึก ๆ และทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง


2.คุณทานอาหารตอนกลางคืน

เมื่อคุณล้มตัวลงนอนหลังรับประทานอาหารได้ไม่นาน กรดในกระเพาะสามารถไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร กล้ามเนื้อหูรูดที่ด้านล่างของหลอดอาหารที่ผ่อนคลายเกินไปคือตัวที่ทำให้เกิดปัญหา ทำให้รบกวนการนอน คือเกิดกรดไหลย้อน แต่ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่การรับประทานอาหารเย็นเวลาดึกทำให้เกิดปัญหา  เบธ เรีดอน, R.D. โภชนาการผสมผสานที่ Duke Integrative Medicine ในเมืองเดอร์แฮม มลรัฐนอร์ธแคโรไลน่า กล่าวว่า "ร่างกายของคุณจะวุ่นวายอยู่กับการย่อยอาหารเกินกว่าที่จะให้ความสำคัญในการนอนหลับ เพื่อการล้างพิษ สร้างเซลล์ใหม่ และฟื้นคืนชีวิตชีวา" เธอแนะนำให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอนเป็นเวลาอย่างน้อยสามชั่วโมง

ทางการแพทย์จีนแผนโบราณเชื่อว่านาฬิกาของอวัยวะมีลมปราณหรือพลังชีวิตไหลเวียนไปทั่วระบบอวัยวะต่าง ๆ ในช่วง 24 ชั่วโมง และเราต้องไม่ไปรบกวนจังหวะธรรมชาติเหล่านั้น

เดวิด สคริมจอย์, LAc. แพทย์ฝังเข็มและผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีนจากเมืองโบลเดอร์ มลรัฐโคโลราโด้ กล่าวว่า "ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณทานอาหารดึกเกินไป ลมปราณจะไม่ไหลเวียนอย่างถูกต้อง ผลก็คือคุณจะนอนหลับได้ไม่ดี และไม่สามารถฟื้นฟูต่อมอะดรีนัลและอวัยวะย่อยอาหาร"


3.ต้องเปลี่ยนน้ำมัน

กรดไขมันโอเมก้า-3 พบได้ในปลาที่มีไขมัน, วอลนัท, น้ำมันคาโนล่า และเมล็ดแฟล็กซ์ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้นอนหลับด้วย เรียดอนกล่าวว่า "ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเนื้อเยื่อสีเทาในสมองประกอบด้วยโอเมก้า-3 แล้วยังเป็นสารเริ่มต้นสำหรับสร้างเป็นเยื่อหุ้มเซลล์"


สารสื่อประสาทคือสารเคมีที่ช่วยส่งผ่านสัญญาณจากบริเวณหนึ่งในสมองไปยังบริเวณอื่น และสารสื่อประสาทบางตัว เช่น ซีโรโตนิน, โดพามีน, นอร์อีพิเนฟรีนและอะเซ็ททิลโคลีน เป็นตัวควบคุมว่าเราจะหลับหรือตื่น เรียดอนอธิบายว่า "หากคุณไปทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ตกอยู่ในอันตราย เช่น รับประทานไขมันชนิดทรานส์มากเกินไป (เป็นไขมันที่พบในอาหารอย่างเช่นเฟรนช์ฟราย, โดนัท, คุ้กกี้ และแคร็กเกอร์) และบริโภคโอเมก้า-3 ไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์เหล่านั้นไม่สามารถสื่อสารกันได้"

4.คุณดื่มแอลกอฮอล์




แน่นอนที่ไวน์แดงแก้วหนึ่งมีสารแอนติออกซิแดนท์ และช่วยให้นอนหลับได้จริงอยู่ แต่ตอนแรกแอลกอฮอล์จะทำตัวเป็นยากล่อมประสาท แต่พอผ่านไปสักสองสามชั่วโมงคุณจะหลุดออกจากวงจรการนอนหลับ แพทย์หญิงฟริสก้าแยน-โก, M.D. ผู้อำนวยการศูนย์แพทย์ความผิดปกติในการนอนหลับของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐคาลิฟอร์เนีย ณ เมืองลอสแองเจลิส กล่าวว่า "พอแอลกอฮอล์ถูกเมตาโบไลซ์หมด คุณก็จะตื่นขึ้นมากลางดึก" ดังนั้น ขอให้ดื่มในตอนอาหารเย็นเพียงหนึ่งแก้วอย่างน้อยสามชั่วโมงก่อนเข้านอน



5.ระดับคอร์ติโซลผิดปกติ



ต่อมอะดรีนัลของคุณผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ รวมทั้งนอร์อีพิเนฟริน (อะดรีนาลีน), คอร์ติโซล ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด และดีไฮโดรอีพิแอนโดรสเตอโรน (dehydroepiandosterone-DHEA เป็นฮอร์โมนที่ทำงานตรงกันข้ามกับคอร์ติโซล) เมื่อจังหวะวงจรการนอนหลับเป็นปกติและการตอบสนองต่อความเครียดเป็นปกติ ระดับคอร์ติโซลจะสูงในตอนเช้า และค่อย ๆ ลดลงตลอดทั้งวัน



"แต่พอผู้หญิงเกิดความเครียดเป็นเวลาหลาย ๆ ปี การตอบสนองของคอร์ติโซลก็จะเป็นในทางกลับกัน คือกลายเป็นว่ามีมากในตอนเย็น และมีน้อยในตอนเช้า" เป็นคำกล่าวของแพทย์หญิงคริสเทียนี นอร์ทรัป, M.D. แพทย์ผู้ทำการรักษาแบบผสมผสาน อยู่ที่เมืองยาร์เมาท์ มลรัฐเมน และเป็นผู้แต่งหนังสือ Women’s Bodies, Women’s Wisdom (Bantam) เมื่อระดับคอร์ติโซลเพิ่มขึ้นในตอนกลางคืน ก็จะมีปัญหากับการนอนหลับ เพราะทั้งจิตใจและร่างกายยังตื่นตัวอยู่ "คุณจะตรวจหาความเครียดจากต่อมอะดรีนัลนี้ได้จากการทดสอบธรรมดา ๆ"นอร์ทรัปกล่าว "คุณต้องทำการตรวจรูปแบบของฮอร์โมนคอร์ติโซล (adrenocortical profile) โดยการวัดระดับคอร์ติโซลจากน้ำลายในเวลาต่าง ๆ กันตลอดทั้งวัน"



6.คุณใช้ยาอยู่




แยก-โก กล่าวว่า "ยาที่รับประทานอาจะไปกระตุ้นหรือยับยั้งการทำงานของสมอง" ตัวอย่างเช่น ยาแก้ปวดบางชนิดมีคาเฟอีนอยู่ในส่วนผสม ดังนั้นให้ตรวจดูส่วนผสมในนั้นเสียก่อน ส่วนยาที่แพทย์ให้อย่างเช่น เบต้า-บล็อคเกอร์ ก็ยับยั้งการนอนหลับได้เช่นกัน



ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ ยาต้านความเครียดเป็นตัวขโมยการนอนหลับชั้นนำเลยทีเดียว การนอนไม่หลับเป็นอาการของความซึมเศร้า คุณจึงคาดหวังว่าจะต้องใช้ยาที่ทำให้หายเครียด "แต่ส่วนผสมที่เป็นตัวขัดขวางการเก็บซีโรโตนินกลับ (selective serotonin reuptake inhibitors-SSRIs อย่าง เช่น Paxil, Lexapro หรือ Prozac) เป็นตัวทำให้ซีโรโตนินหลั่งออกมาไม่หยุด เป็นผลให้ไปรบกวนการนอนหลับในหลายราย" ไนแมนกล่าว ให้พูดคุยกับแพทย์หากคุณคิดว่ายาที่กำลังรับประทานอยู่ไปรบกวนการนอนหลับ อาจมีทางเลือกอื่น หรือบางทีก็อาจปรับเปลี่ยนตารางรับประทานยาสำหรับยาที่ทำให้เกิดการกระตุ้นในตอนเช้า เป็นต้น



7.คุณออกกำลังกายหนักเกินไป



การออกกำลังกายช่วยให้นอนหลับดีขึ้น ตราบใดที่คุณยังทำไม่หนักเกินไป ในการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้จากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นในเมืองอีแวนสตัน มลรัฐอิลลินอยส์ พบว่า ผู้ใหญ่ที่ไม่ออกกำลังกายและมีอาการนอนไม่หลับจะนอนหลับได้ดีขึ้นและยาวนานขึ้น เมื่อมีการออกกำลังกายในระดับปานกลางครั้งละ 30 ถึง 40 นาที สัปดาห์ละสี่ครั้งเป็นเลา 16 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม แยน - โก กล่าวว่า "การออกกำลังกายมากเกินไปจะไปมีผลทางด้านลบต่อการนอนหลับ ไม่ใช่แค่ปัญหาที่ออกกำลังกายในเวลาดึกเกินไป-คุณอาจออกกำลังหนักเกินไป ไม่ว่าจะออกกำลังในเวลาไหนก็ตาม"



สคริมจอย์ เคยทำการรักษานักกีฬาหลายคนมาแล้วอธิบายว่า "พอคุณผลักดันตัวเองมากเกินไป ร่างกายก็จะหลังคอร์ติโซลส่วนเกินออกมา ซึ่งในช่วงสั้น ๆ จะมีผลในการนอนหลับ" เขากล่าว "ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปก็จะมีผลต่อการนอนตลอดทั้งคืน คนที่ออกกำลังกายหนักเกินไป จะมีปัญหาในการทำให้ตัวเองเยือกเย็นลง"



ดังนั้น ให้ลดการออกกำลังกายลงและทำให้สมดุลด้วยการออกกำลังช้า ๆ เบา ๆ เช่น ชี่กง, ไท้เก๊ก หรือโยคะ (แต่อย่าทำก่อนเข้านอน) การวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐคาลิฟอร์เนีย ณ เมืองลอสแองเจลิส แสดงให้เห็นว่าการเล่นไท้เก๊กครั้งละ 40 นาที สัปดาห์ละสามครั้งช่วยให้นอนหลับได้ยาวขึ้นและดีขึ้น






8.คุณวิตกกังวลมากเกินไป




นอร์ทรัปกล่าวว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความกังวลและคอยคิดอยู่แต่เรื่องเหล่านั้น เป็นความเจ็บปวดและทำให้รู้สึกไม่สบาย แล้วนำไปสู่การหลั่งฮอร์โมนความเครียดมากขึ้น ผลก็คือนอนไม่หลับ" ความวิตกกังวลรุนแรงขึ้นในตอนกลางคืน โดยหากความกังวลของคุณมีอยู่ในระดับต่ำ ๆ ในตอนกลางวัน คุณก็อาจจะไม่รู้สึกตัว แต่พอถึงเวลานอนและปิดไฟ เสียงกระซิบของความกังวลนั้นก็กลายเป็นเสียงดังสนั่นทันที



แล้วจะทำอย่างไรให้มันเงียบลงไปได้? มันก็เหมือนกับการแปรงฟันล้างหน้าก่อนนอน คือต้องทำใจให้โปร่งโล่ง การศึกษาหลายครั้งแสดงให้เห็นว่า การจดบันทึกสิ่งที่คุณกลัวมากที่สุดในตอนกลางคืนช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น



9.คุณออกกำลังกายดึกเกินไป



หากได้ออกกำลังกายในตอนเย็นจะดีกว่าการไม่ออกกำลังกายเลย อย่างไรก็ตาม "บางคนพบว่าการออกกำลังกายในตอนเย็นทำให้พวกเขาตื่นตัวและนอนไม่หลับ จะดีกว่าสำหรับคนพวกนี้หากจะออกกำลังกายในตอนเช้า" เป็นคำกล่าวของแพทย์หญิง แดพนี มิลเลอร์, M.D. จากเมืองซานฟรานซิสโก ให้เก็บเกี่ยวประโยชน์จากการออกกำลังในช่วงเช้า ไม่ว่าจะเดินออกกำลัง หรือขี่จักรยาน การได้รับแสงแดดธรรมชาติในตอนเช้าและตลอดทั้งวันจะช่วยให้วงจรการนอนหลับดีขึ้น



10.อาหารเย็นของคุณกระตุ้นมากเกินไป




คุณทราบดีว่าอย่าดื่มกาแฟก่อนเข้านอน คาเฟอีนมีครึ่งชีวิตอยู่ราวหกถึงเจ็ดชั่วโมง นั่นคือมั่นใช้เวลานานในการเมตาโบไลซ์สารนี้เพียงครึ่งเดียว แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ อาหารรสเผ็ดก็เป็นสิ่งต้องห้ามในตอนกลางคืน "มันทำให้เมตาโบลิซึ่มเกิดการกระตุกเหมือนคาเฟอีน" สคริมจอย์กล่าว "อาหารเย็น ๆ อย่างเช่นแตงโมให้ผลตรงกันข้าม การรับประทานในมื้อเย็นช่วยให้คุณนอนหลับได้"



อาหารเย็นที่มีเนื้อและมันฝรั่งก็ทำให้นอนไม่หลับ "โปรตีนจากสัตว์ โดยเฉพาะจากเนื้อวัว เป็นอาหารที่ย่อยยากกว่าโปรตีนจากพืช" เรียดอนกล่าว "หลังจากทานสเต๊กชิ้นใหญ่ ร่างกายก็จะวุ่นวายอยู่กับการย่อยแทนที่จะให้ความสนใจกับวงจรการนอนหลับ"



11.ร้อนเกินไป



ห้องนอนที่อุ่น หรือร้อนเกินไปไม่เหมาะกับการนอนหลับ แยน-โก กล่าวว่า "คุณต้องการสภาพแวดล้อมที่เย็น" อุณหภูมิของร่างกายจะค่อย ๆ ลดต่ำลงในขณะนอนหลับ และหากสภาพแวดล้อมอุ่นเกินไปจะทำให้คุณพลิกตัวไปมา



จากข้อมูลของมูลนิธิ National Sleep Foundation ระบุว่า อุณหภูมิที่สูงกว่า 75 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 25 องศาเซลเซียส (หรือต่ำกว่า 54 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 12 องศาเซลเซียส) จะไปรบกวนการนอนหลับ ไนแมนแนะนำให้อุณหภูมิอยู่ราว ๆ 86 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 20 องศาเซลเซียส (สำหรับคนไทยควรอยู่สัก 25 องศาเซลเซียส จะสบายกว่าและเป็นการประหยัดพลังงานด้วย - ผู้แปล)



12.คุณมีปัญหาต่อมไทรอยด์



ต่อมไทรอยด์ที่ทำงานมากเกินไปทำให้รู้สึกวิตกกังวลและไม่ได้พัก ทำให้หมดแรงและไม่สามารถนอนหลับลงได้ ในขณะที่ต่อไทรอยด์ที่ต่ำเกินไปก็รบกวนการนอนหลับเช่นกัน "บางคนที่ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยจะไม่สามารถตื่นได้เต็มตัว หรือมีพลังเต็มที่ตลอดทั้งวันเลยทีเดียว" ไนแมนกล่าว "เราจะนอนได้ดีขึ้น และหลับลึกขึ้นเมื่อเรามีพลังเต็มที่ในช่วงกลางวัน" นอกจากนี้ยารักษาต่อมไทรอยด์เป็นยากระตุ้น หากปริมาณที่ใช้ผิดเพี้ยนเพียงนิดเดียวก็จะทำให้นอนหลับไม่ลงได้



13.คุณป่วยด้วยการอักเสบเรื้อรัง




การอักเสบในระดับต่ำ ๆ ทั่วทั้งร่างกาย ซึ่งเกิดได้จากอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิต, มลภาวะในอากาศ, ความเครียด และปัจจัยซ่อนเร้น อื่น ๆ ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ, ความอ้วน, โรคเบาหวาน และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ แล้วกลายเป็นว่ามันทำให้คุณตื่นอยู่ตลอดคืน



"คนส่วนมากไม่ทราบว่าการอักเสบเรื้อรังมีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิของร่างกายที่เพิ่มขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็วัดออกมาได้" ไนแมนกล่าว



เราจำเป็นต้องทำให้ต่ำลง เพื่อที่จะนอนหลับได้ แต่การอักเสบก็ไปคอยกันไม่ให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลงอีก

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตช่วยได้ ให้เลิกอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ไปทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง เช่น คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี (คุ้กกี้, มันฝรั่งทอดและแคร็กเกอร์) และรับประทานโปรตีนที่ไม่มีไขมันมาก ๆ, กรดไขมันโอเมก้า-3, ธัญพืชขัดสีน้อย และผลไม้กับผัก เพื่อให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในการควบคุม และต่อต้านการอักเสบ



14.คุณไวต่ออาหารบางอย่าง



เรียดอน กล่าวว่า "การไวต่ออาหารเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนเราจะคิดถึงเกี่ยวกับการนอน ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น" อาหารที่มักไปกระตุ้นไม่ให้นอนหลับลง ได้แก่ ถั่วเหลือง, ถั่วเปลือกแข็ง, ข้าวสาลี, ช็อคโกแลต, ข้าวโพด และอาหารนม แต่การไวต่ออาหารไม่ได้อยู่ที่ระบบทางเดินอาหาร



"มันเริ่มขึ้นที่นั่น แต่หลังจากนั้นร่างกายจะมีปฏิกิริยาทั้งระบบ โดยเฉพาะหากมีความผิดปกติในการย่อยอาหารก็จะทำให้ไปรบกวน หรือแม้แต่ทำให้เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหารเสียหาย" เรียดอนกล่าว ซึ่งนี่มักเป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับผู้ทีมีประวัติใช้ยาแก้อักเสบประเภท NSAIDs (nonsteroidal anti-inflammatorydrugs เช่นแอสไพรินและ ibuprofen) เป็นระยะเวลายาวนาน ระบบภูมิคุ้มกันจะถูกกะรุต้น และระบบประสาทส่วนกลางตื่นตัวข้น รวมทั้งตัวคุณด้วย



หากคุณคิดว่าเกิดจากการไวต่ออาหาร ให้จดบันทึกอาหารที่รับประทานไว้ หมายเหตุไว้ด้วยว่ามีอาการเช่นไร แต่จำไว้ว่า การไวต่ออาหารมักมีปฏิกิริยาเกิดช้า ไม่ใช่ว่าทานอาหารค่ำปุ๊บจะทำให้นอนไม่หลับในคืนนั้น เพราะที่จริงมันอาจเกิดจากอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปเมื่อสองสามวันก่อนหน้า ดังนั้นให้ดูบันทึกย้อนหลังไปสักสามถึงสี่วัน พอคิดว่าพบตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว ก็หยุดรับประทานอาหารนั้นทีละอย่าง ๆ แล้วสังเกตดูว่าการนอนหลับดีขึ้นหรือไม่ เรียดอนกล่าวว่า "แล้วให้เวลาตัวเองราว ๆ สามเดือน ทางเดินอาหารต้องการเวลาในการรักษาตัว"



15.คุณมักจะตื่นตัวอยู่ตลอด



ในโลกที่วุ่นวายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงในหนึ่งวัน เจ็ดวันในหนึ่งสัปดาห์ ทำให้เรารู้สึกตึงเครียดอยู่ตลอด ไนแมนกล่าวว่า "สังคมของเราเป็นสังคมที่ตื่นอยู่เสมอ ทำให้เราท้อแท้ที่จะได้พบกับประสบการณ์ที่แท้จริง หรือสนุกสนานและเข้าใจกับการนอนและการหลับ" และบอกว่าพวกเราส่วนมากได้รับแรงกระตุ้นมากเกินไป ปรัชญาของพวกเราเน้นไปกับการเร่งรีบจนไม่สามารถชะลอตัวลงได้ในตอนกลางคืน แต่การเรียนรู้ถึงความสำคัญในการงีบหลับเสียบ้าง จะช่วยพวกเราได้มากในช่วงที่เราตื่นอยู่