วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

GAT / PAT คืออะไร


ความถนัดทั่วไป (GAT : General Aptitude Test)


การวัดศักยภาพในการเรียนในมหาวิทยาลัยให้ประสบความสำเร็จ แยกได้ 2 ส่วน คือ

1. ความสามารถในการอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์ และแก้โจทย์ปัญหา 50 %

2. ความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ 50 %


ลักษณะข้อสอบ GAT

1เนื้อหา

- การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์และการแก้โจทย์ ปัญหา(ทาง คณิตศาสตร์) 50%

- การสื่อสารด้วยภาษา อังกฤษ 50%

2. ลักษณะข้อสอบ GAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย

- คะแนนเต็ม 200 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง

- ข้อสอบ เน้น Content Free และ Fair

- เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก

- มีการออกข้อสอบเก็บไว้เป็นคลังข้อ สอบ

3. สอบปีละหลายครั้ง

- คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด (จะสอบ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้)



ความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ (PAT :Professional and Academic Aptitude Test) คือ ความรู้ที่เป็นพื้นฐานที่จะเรียนต่อในวิชาชีพนั้น ๆ กับศักยภาพที่จะเรียนในวิชาชีพนั้น ๆให้ประสบความสำเร็จ

มี 7 ประเภท คือ

1. PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์

2. PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์

3. PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์

4. PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์

5. PAT 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู

6. PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์

7. PAT 7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศรายละเอียดเกี่ยว กับ PAT


ลักษณะแนวข้อสอบ PAT

PAT 1 วัดศักยภาพทางคณิตศาสตร์

เนื้อหา เช่น Algebra, Probability and Statistics, Conversion,Geometry, Trigonometry,Calculus ฯลฯ



ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills



PAT 2 วัดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์

เนื้อหา ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, Earth Sciences, environment, ICT ฯลฯ



ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Sciences Reading Ability,Science Problem Solving Ability ฯลฯ



PAT 3 วัดศักยภาพทางวิศวกรรม ศาสตร์

เนื้อหา เช่น Engineering Mathematics, EngineeringSciences,Life Sciences, IT ฯลฯ



ลักษณะ ข้อสอบ Engineering Aptitude i.e. Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability



PAT 4 วัดศักยภาพทางสถาปัตยกรรมศาสตร์

เนื้อหา เช่น Architectural Math and Science ฯลฯ



ลักษณะข้อสอบ Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability ฯลฯ



PAT 5 วัดศักยภาพทาง ครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์

เนื้อหา ความรู้ในเนื้อหาภาษา ไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม วิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ลักษณะ ข้อสอบ ครุ ศึกษา (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills),ความรู้ทั่วไปเกี่ยว กับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนัก เรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ



PAT 6 วัดศักยภาพทางศิลปกรรมศาสตร์

เนื้อหา เช่น ทฤษฎีศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ความรู้ทั่วไปทาง ศิลป์ ฯลฯ

ลักษณะข้อสอบ PAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย

- คะแนนเต็มชุดละ 200 คะแนน เวลาสอบชุดละ 2 ชั่วโมง

- เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก

- มีการออกข้อสอบเก็บไว้ในคลังข้อ สอบ

การจัดสอบPAT จะจัดสอบเมื่อนักเรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยจัดสอบปีละ 2 ครั้ง

- คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่ สุด

General Aptitude (GAT: General Aptitude Test).


Measuring the potential for universities to achieve two separate parts.

A. The ability to read, write, think critically and solve problems 50%.

Two. The ability to communicate in English, 50%.





Test the GAT.

1 a.

- To read, write, think critically and solve problems (math) 50%.

- To communicate in English, 50%.

Two. The GAT test is objective and subjective.

- Score 200 points for the second hour.

- Test the Content Free and Fair.

- The overlap complexity (Complexity) more difficult.

- An examination of the Finance and Audit.

Three. Out several times a year.

- Rate for 2 years using the best score (to be sure the service. 4 time).



Professional and technical skills (PAT: Professional and Academic Aptitude Test) is a knowledge base that will continue in the profession with the potential to learn the profession. I make it a success.

There are seven categories.

1. PAT 1 mathematical aptitude.

2. PAT 2 scientific aptitude.

3. PAT 3 engineering students.

4. PAT 4 students of architecture.

5. PAT 5 students and teachers.

6. PAT 6 students of Fine Arts.

7. PAT 7 students in foreign languages, information about the PAT.





The picnic PAT.

PAT 1 measure of mathematical ability.

Content, such as Algebra, Probability and Statistics, Conversion, Geometry, Trigonometry, Calculus, etc..



The Test Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills.



The scientific potential of PAT 2.

The content of Biology, Chemistry, Physics, Earth Sciences, environment, ICT, etc..



The Test Perceptual Ability, Sciences Reading Ability, Science Problem Solving Ability, etc..



PAT 3 the potential of engineering science.

Content, such as Engineering Mathematics, EngineeringSciences, Life Sciences, IT, etc..



Test of Engineering Aptitude ie Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability.



PAT 4 the potential of architecture.

Content, such as Architectural Math and Science, etc..



Test of Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability, etc..



PAT 5 The Potential of Education / Education.

Content knowledge in math, science, social science content in English, anthropology, art, environmental health, etc..



Examination of teacher education (Pedagogy), Reading (Reading Skills), general knowledge. The study of Thailand. To solve the problem of student teachers, school administrators, etc..



PAT 6 The Potential of Fine Arts.

Content, such as the theory of art (visual arts, music, dance), etc. It is generally for art.



The PAT test is objective and subjective.

- A score of 200 points at the two-hour set.

- The overlap complexity (Complexity) more difficult.

- Are stored in the library and check out the test.



The PAT test is organized by students in grade 6 test 2 times a year.

- Score is 2 years with a good score.


วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

15 ประการที่ขโมยเวลาในการนอนหลับ

"เราต้องมองการหลับในมุมมองทั้งของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ" เป็นคำกล่าวของด็อกเตอร์รูบิน ไนแมน, Ph.D. นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของการนอนหลับและฝัน และเป็นศาสตราจารย์คลินิกของศูนย์ Integrative Medicine มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซน่า ในเมืองทูซอน "การแพทย์ดั้งเดิมเน้นไปทางด้านร่างกายโดยให้ความสนใจแก่จิตใจเพียงเล็กน้อย" ไนแมนยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "พอเราหันมามองภาพรวมเราก็จะเห็นหนทางใหม่ ๆ ที่ช่วยให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น"



ต่อไปนี้เป็นสาเหตุของปัญหา 15 ประการ หลายอย่างในนี้อาจทำให้คุณประหลาดใจที่จะช่วยแก้ปัญหาการนอนของคุณได้




1.คุณคิดว่าโยคะช่วยได้


การทำโยคะก่อนเข้านอนอาจทำให้นอนไม่หลับ ด็อกเตอร์ จูดิธ แฮนสัน ลาซาเตอร์, Ph.D. นักกายภาพบำบัดและผู้ฝึกสอนโยคะในเมืองซานฟรานซิสโกกล่าวว่า "แน่นอน เพราะการทำโยคะในช่วงดึกจะทำให้คุณตื่นตัว" หรือแม้จะทำโยคะด้วยท่าที่เชื่องช้าที่สุดก็ยังทำให้ตื่นตัวได้ และกล่าวต่อไปว่า "โดยตัวของมันเองแล้วการบริหารยืดร่างกายก็คือการกระตุ้นทางกายภาพนั่นเอง"

ดังนั้น แทนที่จะเล่นโยคะ ให้ทำการผ่อนคลายอย่างมีสติ และเตรียมร่างกายเพื่อการเข้านอนดังต่อไปนี้ : นอนลงบนพื้นและขาส่วนล่างวางไว้บนโซฟา ดังนั้น หัวเข่าคุณจะทำมุม 90 องศา วางหมอนใบเล็ก ๆ หรือผ้าขนหนูไว้ใต้ศีรษะและคอ แล้วเอามาปิดตาเพื่อบล็อกแสงสว่าง ลาซาเตอร์กล่าวว่า "นี่ช่วยลดการกระตุ้นศูนย์ประสาทในสมองที่คอยทำให้คุณตื่น" จากนั้นหายใจช้า ๆ ลึก ๆ และทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง


2.คุณทานอาหารตอนกลางคืน

เมื่อคุณล้มตัวลงนอนหลังรับประทานอาหารได้ไม่นาน กรดในกระเพาะสามารถไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร กล้ามเนื้อหูรูดที่ด้านล่างของหลอดอาหารที่ผ่อนคลายเกินไปคือตัวที่ทำให้เกิดปัญหา ทำให้รบกวนการนอน คือเกิดกรดไหลย้อน แต่ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่การรับประทานอาหารเย็นเวลาดึกทำให้เกิดปัญหา  เบธ เรีดอน, R.D. โภชนาการผสมผสานที่ Duke Integrative Medicine ในเมืองเดอร์แฮม มลรัฐนอร์ธแคโรไลน่า กล่าวว่า "ร่างกายของคุณจะวุ่นวายอยู่กับการย่อยอาหารเกินกว่าที่จะให้ความสำคัญในการนอนหลับ เพื่อการล้างพิษ สร้างเซลล์ใหม่ และฟื้นคืนชีวิตชีวา" เธอแนะนำให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอนเป็นเวลาอย่างน้อยสามชั่วโมง

ทางการแพทย์จีนแผนโบราณเชื่อว่านาฬิกาของอวัยวะมีลมปราณหรือพลังชีวิตไหลเวียนไปทั่วระบบอวัยวะต่าง ๆ ในช่วง 24 ชั่วโมง และเราต้องไม่ไปรบกวนจังหวะธรรมชาติเหล่านั้น

เดวิด สคริมจอย์, LAc. แพทย์ฝังเข็มและผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีนจากเมืองโบลเดอร์ มลรัฐโคโลราโด้ กล่าวว่า "ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณทานอาหารดึกเกินไป ลมปราณจะไม่ไหลเวียนอย่างถูกต้อง ผลก็คือคุณจะนอนหลับได้ไม่ดี และไม่สามารถฟื้นฟูต่อมอะดรีนัลและอวัยวะย่อยอาหาร"


3.ต้องเปลี่ยนน้ำมัน

กรดไขมันโอเมก้า-3 พบได้ในปลาที่มีไขมัน, วอลนัท, น้ำมันคาโนล่า และเมล็ดแฟล็กซ์ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้นอนหลับด้วย เรียดอนกล่าวว่า "ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเนื้อเยื่อสีเทาในสมองประกอบด้วยโอเมก้า-3 แล้วยังเป็นสารเริ่มต้นสำหรับสร้างเป็นเยื่อหุ้มเซลล์"


สารสื่อประสาทคือสารเคมีที่ช่วยส่งผ่านสัญญาณจากบริเวณหนึ่งในสมองไปยังบริเวณอื่น และสารสื่อประสาทบางตัว เช่น ซีโรโตนิน, โดพามีน, นอร์อีพิเนฟรีนและอะเซ็ททิลโคลีน เป็นตัวควบคุมว่าเราจะหลับหรือตื่น เรียดอนอธิบายว่า "หากคุณไปทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ตกอยู่ในอันตราย เช่น รับประทานไขมันชนิดทรานส์มากเกินไป (เป็นไขมันที่พบในอาหารอย่างเช่นเฟรนช์ฟราย, โดนัท, คุ้กกี้ และแคร็กเกอร์) และบริโภคโอเมก้า-3 ไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์เหล่านั้นไม่สามารถสื่อสารกันได้"

4.คุณดื่มแอลกอฮอล์




แน่นอนที่ไวน์แดงแก้วหนึ่งมีสารแอนติออกซิแดนท์ และช่วยให้นอนหลับได้จริงอยู่ แต่ตอนแรกแอลกอฮอล์จะทำตัวเป็นยากล่อมประสาท แต่พอผ่านไปสักสองสามชั่วโมงคุณจะหลุดออกจากวงจรการนอนหลับ แพทย์หญิงฟริสก้าแยน-โก, M.D. ผู้อำนวยการศูนย์แพทย์ความผิดปกติในการนอนหลับของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐคาลิฟอร์เนีย ณ เมืองลอสแองเจลิส กล่าวว่า "พอแอลกอฮอล์ถูกเมตาโบไลซ์หมด คุณก็จะตื่นขึ้นมากลางดึก" ดังนั้น ขอให้ดื่มในตอนอาหารเย็นเพียงหนึ่งแก้วอย่างน้อยสามชั่วโมงก่อนเข้านอน



5.ระดับคอร์ติโซลผิดปกติ



ต่อมอะดรีนัลของคุณผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ รวมทั้งนอร์อีพิเนฟริน (อะดรีนาลีน), คอร์ติโซล ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด และดีไฮโดรอีพิแอนโดรสเตอโรน (dehydroepiandosterone-DHEA เป็นฮอร์โมนที่ทำงานตรงกันข้ามกับคอร์ติโซล) เมื่อจังหวะวงจรการนอนหลับเป็นปกติและการตอบสนองต่อความเครียดเป็นปกติ ระดับคอร์ติโซลจะสูงในตอนเช้า และค่อย ๆ ลดลงตลอดทั้งวัน



"แต่พอผู้หญิงเกิดความเครียดเป็นเวลาหลาย ๆ ปี การตอบสนองของคอร์ติโซลก็จะเป็นในทางกลับกัน คือกลายเป็นว่ามีมากในตอนเย็น และมีน้อยในตอนเช้า" เป็นคำกล่าวของแพทย์หญิงคริสเทียนี นอร์ทรัป, M.D. แพทย์ผู้ทำการรักษาแบบผสมผสาน อยู่ที่เมืองยาร์เมาท์ มลรัฐเมน และเป็นผู้แต่งหนังสือ Women’s Bodies, Women’s Wisdom (Bantam) เมื่อระดับคอร์ติโซลเพิ่มขึ้นในตอนกลางคืน ก็จะมีปัญหากับการนอนหลับ เพราะทั้งจิตใจและร่างกายยังตื่นตัวอยู่ "คุณจะตรวจหาความเครียดจากต่อมอะดรีนัลนี้ได้จากการทดสอบธรรมดา ๆ"นอร์ทรัปกล่าว "คุณต้องทำการตรวจรูปแบบของฮอร์โมนคอร์ติโซล (adrenocortical profile) โดยการวัดระดับคอร์ติโซลจากน้ำลายในเวลาต่าง ๆ กันตลอดทั้งวัน"



6.คุณใช้ยาอยู่




แยก-โก กล่าวว่า "ยาที่รับประทานอาจะไปกระตุ้นหรือยับยั้งการทำงานของสมอง" ตัวอย่างเช่น ยาแก้ปวดบางชนิดมีคาเฟอีนอยู่ในส่วนผสม ดังนั้นให้ตรวจดูส่วนผสมในนั้นเสียก่อน ส่วนยาที่แพทย์ให้อย่างเช่น เบต้า-บล็อคเกอร์ ก็ยับยั้งการนอนหลับได้เช่นกัน



ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ ยาต้านความเครียดเป็นตัวขโมยการนอนหลับชั้นนำเลยทีเดียว การนอนไม่หลับเป็นอาการของความซึมเศร้า คุณจึงคาดหวังว่าจะต้องใช้ยาที่ทำให้หายเครียด "แต่ส่วนผสมที่เป็นตัวขัดขวางการเก็บซีโรโตนินกลับ (selective serotonin reuptake inhibitors-SSRIs อย่าง เช่น Paxil, Lexapro หรือ Prozac) เป็นตัวทำให้ซีโรโตนินหลั่งออกมาไม่หยุด เป็นผลให้ไปรบกวนการนอนหลับในหลายราย" ไนแมนกล่าว ให้พูดคุยกับแพทย์หากคุณคิดว่ายาที่กำลังรับประทานอยู่ไปรบกวนการนอนหลับ อาจมีทางเลือกอื่น หรือบางทีก็อาจปรับเปลี่ยนตารางรับประทานยาสำหรับยาที่ทำให้เกิดการกระตุ้นในตอนเช้า เป็นต้น



7.คุณออกกำลังกายหนักเกินไป



การออกกำลังกายช่วยให้นอนหลับดีขึ้น ตราบใดที่คุณยังทำไม่หนักเกินไป ในการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้จากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นในเมืองอีแวนสตัน มลรัฐอิลลินอยส์ พบว่า ผู้ใหญ่ที่ไม่ออกกำลังกายและมีอาการนอนไม่หลับจะนอนหลับได้ดีขึ้นและยาวนานขึ้น เมื่อมีการออกกำลังกายในระดับปานกลางครั้งละ 30 ถึง 40 นาที สัปดาห์ละสี่ครั้งเป็นเลา 16 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม แยน - โก กล่าวว่า "การออกกำลังกายมากเกินไปจะไปมีผลทางด้านลบต่อการนอนหลับ ไม่ใช่แค่ปัญหาที่ออกกำลังกายในเวลาดึกเกินไป-คุณอาจออกกำลังหนักเกินไป ไม่ว่าจะออกกำลังในเวลาไหนก็ตาม"



สคริมจอย์ เคยทำการรักษานักกีฬาหลายคนมาแล้วอธิบายว่า "พอคุณผลักดันตัวเองมากเกินไป ร่างกายก็จะหลังคอร์ติโซลส่วนเกินออกมา ซึ่งในช่วงสั้น ๆ จะมีผลในการนอนหลับ" เขากล่าว "ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปก็จะมีผลต่อการนอนตลอดทั้งคืน คนที่ออกกำลังกายหนักเกินไป จะมีปัญหาในการทำให้ตัวเองเยือกเย็นลง"



ดังนั้น ให้ลดการออกกำลังกายลงและทำให้สมดุลด้วยการออกกำลังช้า ๆ เบา ๆ เช่น ชี่กง, ไท้เก๊ก หรือโยคะ (แต่อย่าทำก่อนเข้านอน) การวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐคาลิฟอร์เนีย ณ เมืองลอสแองเจลิส แสดงให้เห็นว่าการเล่นไท้เก๊กครั้งละ 40 นาที สัปดาห์ละสามครั้งช่วยให้นอนหลับได้ยาวขึ้นและดีขึ้น






8.คุณวิตกกังวลมากเกินไป




นอร์ทรัปกล่าวว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความกังวลและคอยคิดอยู่แต่เรื่องเหล่านั้น เป็นความเจ็บปวดและทำให้รู้สึกไม่สบาย แล้วนำไปสู่การหลั่งฮอร์โมนความเครียดมากขึ้น ผลก็คือนอนไม่หลับ" ความวิตกกังวลรุนแรงขึ้นในตอนกลางคืน โดยหากความกังวลของคุณมีอยู่ในระดับต่ำ ๆ ในตอนกลางวัน คุณก็อาจจะไม่รู้สึกตัว แต่พอถึงเวลานอนและปิดไฟ เสียงกระซิบของความกังวลนั้นก็กลายเป็นเสียงดังสนั่นทันที



แล้วจะทำอย่างไรให้มันเงียบลงไปได้? มันก็เหมือนกับการแปรงฟันล้างหน้าก่อนนอน คือต้องทำใจให้โปร่งโล่ง การศึกษาหลายครั้งแสดงให้เห็นว่า การจดบันทึกสิ่งที่คุณกลัวมากที่สุดในตอนกลางคืนช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น



9.คุณออกกำลังกายดึกเกินไป



หากได้ออกกำลังกายในตอนเย็นจะดีกว่าการไม่ออกกำลังกายเลย อย่างไรก็ตาม "บางคนพบว่าการออกกำลังกายในตอนเย็นทำให้พวกเขาตื่นตัวและนอนไม่หลับ จะดีกว่าสำหรับคนพวกนี้หากจะออกกำลังกายในตอนเช้า" เป็นคำกล่าวของแพทย์หญิง แดพนี มิลเลอร์, M.D. จากเมืองซานฟรานซิสโก ให้เก็บเกี่ยวประโยชน์จากการออกกำลังในช่วงเช้า ไม่ว่าจะเดินออกกำลัง หรือขี่จักรยาน การได้รับแสงแดดธรรมชาติในตอนเช้าและตลอดทั้งวันจะช่วยให้วงจรการนอนหลับดีขึ้น



10.อาหารเย็นของคุณกระตุ้นมากเกินไป




คุณทราบดีว่าอย่าดื่มกาแฟก่อนเข้านอน คาเฟอีนมีครึ่งชีวิตอยู่ราวหกถึงเจ็ดชั่วโมง นั่นคือมั่นใช้เวลานานในการเมตาโบไลซ์สารนี้เพียงครึ่งเดียว แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ อาหารรสเผ็ดก็เป็นสิ่งต้องห้ามในตอนกลางคืน "มันทำให้เมตาโบลิซึ่มเกิดการกระตุกเหมือนคาเฟอีน" สคริมจอย์กล่าว "อาหารเย็น ๆ อย่างเช่นแตงโมให้ผลตรงกันข้าม การรับประทานในมื้อเย็นช่วยให้คุณนอนหลับได้"



อาหารเย็นที่มีเนื้อและมันฝรั่งก็ทำให้นอนไม่หลับ "โปรตีนจากสัตว์ โดยเฉพาะจากเนื้อวัว เป็นอาหารที่ย่อยยากกว่าโปรตีนจากพืช" เรียดอนกล่าว "หลังจากทานสเต๊กชิ้นใหญ่ ร่างกายก็จะวุ่นวายอยู่กับการย่อยแทนที่จะให้ความสนใจกับวงจรการนอนหลับ"



11.ร้อนเกินไป



ห้องนอนที่อุ่น หรือร้อนเกินไปไม่เหมาะกับการนอนหลับ แยน-โก กล่าวว่า "คุณต้องการสภาพแวดล้อมที่เย็น" อุณหภูมิของร่างกายจะค่อย ๆ ลดต่ำลงในขณะนอนหลับ และหากสภาพแวดล้อมอุ่นเกินไปจะทำให้คุณพลิกตัวไปมา



จากข้อมูลของมูลนิธิ National Sleep Foundation ระบุว่า อุณหภูมิที่สูงกว่า 75 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 25 องศาเซลเซียส (หรือต่ำกว่า 54 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 12 องศาเซลเซียส) จะไปรบกวนการนอนหลับ ไนแมนแนะนำให้อุณหภูมิอยู่ราว ๆ 86 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 20 องศาเซลเซียส (สำหรับคนไทยควรอยู่สัก 25 องศาเซลเซียส จะสบายกว่าและเป็นการประหยัดพลังงานด้วย - ผู้แปล)



12.คุณมีปัญหาต่อมไทรอยด์



ต่อมไทรอยด์ที่ทำงานมากเกินไปทำให้รู้สึกวิตกกังวลและไม่ได้พัก ทำให้หมดแรงและไม่สามารถนอนหลับลงได้ ในขณะที่ต่อไทรอยด์ที่ต่ำเกินไปก็รบกวนการนอนหลับเช่นกัน "บางคนที่ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยจะไม่สามารถตื่นได้เต็มตัว หรือมีพลังเต็มที่ตลอดทั้งวันเลยทีเดียว" ไนแมนกล่าว "เราจะนอนได้ดีขึ้น และหลับลึกขึ้นเมื่อเรามีพลังเต็มที่ในช่วงกลางวัน" นอกจากนี้ยารักษาต่อมไทรอยด์เป็นยากระตุ้น หากปริมาณที่ใช้ผิดเพี้ยนเพียงนิดเดียวก็จะทำให้นอนหลับไม่ลงได้



13.คุณป่วยด้วยการอักเสบเรื้อรัง




การอักเสบในระดับต่ำ ๆ ทั่วทั้งร่างกาย ซึ่งเกิดได้จากอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิต, มลภาวะในอากาศ, ความเครียด และปัจจัยซ่อนเร้น อื่น ๆ ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ, ความอ้วน, โรคเบาหวาน และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ แล้วกลายเป็นว่ามันทำให้คุณตื่นอยู่ตลอดคืน



"คนส่วนมากไม่ทราบว่าการอักเสบเรื้อรังมีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิของร่างกายที่เพิ่มขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็วัดออกมาได้" ไนแมนกล่าว



เราจำเป็นต้องทำให้ต่ำลง เพื่อที่จะนอนหลับได้ แต่การอักเสบก็ไปคอยกันไม่ให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลงอีก

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตช่วยได้ ให้เลิกอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ไปทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง เช่น คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี (คุ้กกี้, มันฝรั่งทอดและแคร็กเกอร์) และรับประทานโปรตีนที่ไม่มีไขมันมาก ๆ, กรดไขมันโอเมก้า-3, ธัญพืชขัดสีน้อย และผลไม้กับผัก เพื่อให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในการควบคุม และต่อต้านการอักเสบ



14.คุณไวต่ออาหารบางอย่าง



เรียดอน กล่าวว่า "การไวต่ออาหารเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนเราจะคิดถึงเกี่ยวกับการนอน ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น" อาหารที่มักไปกระตุ้นไม่ให้นอนหลับลง ได้แก่ ถั่วเหลือง, ถั่วเปลือกแข็ง, ข้าวสาลี, ช็อคโกแลต, ข้าวโพด และอาหารนม แต่การไวต่ออาหารไม่ได้อยู่ที่ระบบทางเดินอาหาร



"มันเริ่มขึ้นที่นั่น แต่หลังจากนั้นร่างกายจะมีปฏิกิริยาทั้งระบบ โดยเฉพาะหากมีความผิดปกติในการย่อยอาหารก็จะทำให้ไปรบกวน หรือแม้แต่ทำให้เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหารเสียหาย" เรียดอนกล่าว ซึ่งนี่มักเป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับผู้ทีมีประวัติใช้ยาแก้อักเสบประเภท NSAIDs (nonsteroidal anti-inflammatorydrugs เช่นแอสไพรินและ ibuprofen) เป็นระยะเวลายาวนาน ระบบภูมิคุ้มกันจะถูกกะรุต้น และระบบประสาทส่วนกลางตื่นตัวข้น รวมทั้งตัวคุณด้วย



หากคุณคิดว่าเกิดจากการไวต่ออาหาร ให้จดบันทึกอาหารที่รับประทานไว้ หมายเหตุไว้ด้วยว่ามีอาการเช่นไร แต่จำไว้ว่า การไวต่ออาหารมักมีปฏิกิริยาเกิดช้า ไม่ใช่ว่าทานอาหารค่ำปุ๊บจะทำให้นอนไม่หลับในคืนนั้น เพราะที่จริงมันอาจเกิดจากอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปเมื่อสองสามวันก่อนหน้า ดังนั้นให้ดูบันทึกย้อนหลังไปสักสามถึงสี่วัน พอคิดว่าพบตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว ก็หยุดรับประทานอาหารนั้นทีละอย่าง ๆ แล้วสังเกตดูว่าการนอนหลับดีขึ้นหรือไม่ เรียดอนกล่าวว่า "แล้วให้เวลาตัวเองราว ๆ สามเดือน ทางเดินอาหารต้องการเวลาในการรักษาตัว"



15.คุณมักจะตื่นตัวอยู่ตลอด



ในโลกที่วุ่นวายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงในหนึ่งวัน เจ็ดวันในหนึ่งสัปดาห์ ทำให้เรารู้สึกตึงเครียดอยู่ตลอด ไนแมนกล่าวว่า "สังคมของเราเป็นสังคมที่ตื่นอยู่เสมอ ทำให้เราท้อแท้ที่จะได้พบกับประสบการณ์ที่แท้จริง หรือสนุกสนานและเข้าใจกับการนอนและการหลับ" และบอกว่าพวกเราส่วนมากได้รับแรงกระตุ้นมากเกินไป ปรัชญาของพวกเราเน้นไปกับการเร่งรีบจนไม่สามารถชะลอตัวลงได้ในตอนกลางคืน แต่การเรียนรู้ถึงความสำคัญในการงีบหลับเสียบ้าง จะช่วยพวกเราได้มากในช่วงที่เราตื่นอยู่










วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คาถาป้องกันเส้นเลือดแตกในสมองให้กินกล้วยหอมประจำวันละ 3 มื้อ


หมอเมืองผู้ดีอังกฤษและเมืองมะกะโรนี บอกแนะนำให้กินกล้วยหอมมื้อละ 1 ลูก วันละ 3 มื้อ จะช่วยป้องกันโรคเลือดออกในสมอง อันเป็นโรคที่อันตราย ทำให้เกิดความพิการ หรือเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 21


วารสารวิชาการ“วิทยาลัยแพทย์โรคหัวใจอเมริกัน” รายงานว่า แพทย์มหาวิทยาลัยวอร์วิคของอังกฤษ และมหาวิทยาลัยเนเปิล แห่งอิตาลี ได้ร่วมกันศึกษา ทราบว่า หากกินกล้วยหอมวันละ 3 ลูก จะทำให้ร่างกายได้รับโปแตสเซียม วันละ 1,600 มิลลิกรัม จะลดโอกาสที่จะเกิดเลือดออกในสมอง ลงได้มากกว่า 1 ใน 5

กล้วยหอมแต่ละลูกจะมีโปแตสเซียม 500 มิลลิกรัม ซึ่งมีสรรพคุณลดความดันโลหิต และรักษาดุลของของเหลวในตัว หากร่างกายขาดโปแตสเซียมจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ กระวนกระวาย คลื่นเหียนอาเจียนและท้องร่วง

นักวิจัยกล่าวว่า หากคนเรากินอาหารที่อุดมด้วยโปแตสเซียม เช่น ถั่ว ถั่วแขกชนิดเม็ดแดงและเหลือง นม ปลา และผักโขม ลดการกินเกลือให้น้อยลง จะป้องกันไม่ให้เป็นโรคเลือดออกในสมองกันได้ ปีหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน.

He protects the blood vessels in the brain to eat a banana every day for three meals.

Doctor who is British and the macaroni. I recommend eating a banana a day for three meals a day will help prevent bleeding in the brain. A dangerous disease. Cause of disability. The death toll has reached 21 percent.


Journal, "College of Physicians, American Heart," the doctor reported that the University of Warwick in England. And University of Naples in Italy, with the note that you eat a banana a day, 3 will cause the body to get over potassium at 1600 mg to reduce the chance of bleeding in the brain by more than one in five.

Banana, each child will have over 500 milligrams of potassium, which claims to lower blood pressure. The balance of fluid in the body. If the potassium deficiency of potassium can cause irregular heartbeat, restlessness, nausea, vomiting and diarrhea.

The researchers say. If we eat foods rich in potassium, such as peas, beans, potassium tablets, red and yellow fish, milk and vegetables to eat less salt. To prevent bleeding in the brain as well as each year more than 1 million people.


วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

จับตาเลือกตั้งผู้นำฝรั่งเศส : มารู้จักผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส 2012

ทำความรู้จักกับผู้สมัครเลือกตั้งที่กำลังขับเคี่ยวคะแนน ใน 4 อันดับแรก ซึ่งพากันประชันนโยบายและสโลแกนเข้มๆ อาทิ ฝรั่งเศสเข้มแข็ง ของซาร์โกซี หรือ เปลี่ยนแปลง เดี๋ยวนี้ ของฟร็องซัวส์ ฮอลลองด์, ความเป็นมนุษย์ต้องมาก่อน ของ ชอง - ลุก เมลังชง




การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้สมัครทั้งสิ้นสิบคน โดยแต่ละคนผ่านการเลือกตั้งภายในพรรคแล้วเพื่อตัดสินว่าจะส่งใครลงสมัคร จากรูปภาพด้านบนซ้ายไปขวา






คนแรกคือ M. François HOLLANDE จากพรรคฝ่ายซ้าย Parti Socialiste,


M. Jean-Luc MÉLENCHON จากพรรคฝ่ายซ้าย Front de gauche ซึ่งมีความเป็นซ้ายมากกว่า Parti Socialiste,


M. Jacques CHEMINADE จากพรรค Solidarité et Progrès (S&P),


M. Nicolas SARKOZY จากพรรคฝ่ายขวา Union pour un mouvement populaire (UMP)


Mme Marine LE PEN จากพรรคฝ่ายขวาจัด Front national.,


Mme Nathalie ARTHAUD จากพรรคกรรมกรฝ่ายซ้ายจัด Lutte ouvrière (LO),


M. Philippe POUTOU จากพรรคฝ่ายซ้ายจัด Nouveau Parti anticapitaliste,


M. François BAYROUจากพรรคกลาง Mouvement démocrate (MoDem),


Mme Eva JOLY จากพรรคกรีน Primaire présidentielle écologiste de 2011.


และ M. Nicolas DUPONT-AIGNAN จากพรรคนิยมชาร์ล เดอ โกล Debout La République (DLR)



ประชาธิปไตยไม่ใช่การเลือกตั้ง แต่ประชาธิปไตยก็ขาดการเลือกตั้งไม่ได้ การเลือกตั้งจึงเป็นสิ่งสำคัญกับประชาชนในประเทศโดยเฉพาะในประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงอย่างฝรั่งเศสประชาชนทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างกระตือรือร้นในการใช้สิทธิใช้เสียงเสมือนเป็นส่วนหนึ่งผู้ได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้ง รวมถึงสื่อต่างๆไม่ว่าข่าวคราวในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในช่วงสองสามเดือนนี้ และรายการโทรทัศน์ในฝรั่งเศสต้องมีพื้นที่ไว้ให้แคมเปญผู้สมัครแต่ละคนออกมาดีเบตทางความคิดและโฆษณานโยบายของแต่ละผู้สมัคร ส่วนผู้สมัครเองก็ต้องทำงานอย่างหนักตระเวนออกไปหาเสียงเคาะประตูถึงบ้าน ในทุกๆเขตของHexagon หรือตามหมู่เกาะนอกอาณาเขตของฝรั่งเศส DOM, TOM เพราะทุกคะแนนเสียงมีค่าและไม่ได้มาจากมือที่มองไม่เห็นหรือราชรถมาเสยถึงบ้าน







การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสเป็นการเลือกตั้งสองรอบ โดยประชาชนมีสิทธิในการโหวตคนละหนึ่งคะแนนเสียง ซึ่งภายในรอบแรกจะเลือกตั้งในวันที่ 22เมษายนที่จะถึงนี้ เมื่อผลที่ได้มาแล้วจะนำเอาเฉพาะผู้สมัครสองคนที่ได้เสียงมากสุด มาทำการเลือกตั้งครั้งที่สองในวันที่ 6พฤษภาคม ซึ่งในขณะนี้ทางการฝรั่งเศสได้เริ่มเปิดโอกาสให้ประชาชนฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ต่างประเทศมาเลือกตั้งได้แล้ว การเลือกตั้งก็ไม่ได้ยุ่งยากอย่างบ้านเรา ปีนี้ทางการเปิดโอกาสให้โหวตเสียงผ่านทางอินเตอร์เนตเป็นครั้งแรก หรือสามารถไปคูหาเลือกตั้งที่มีอยู่783แห่ง โดยนำเอกสารแสดงตัวตนไปอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น พาสปอร์ต บัตรประชาชน เป็นต้น โดยไม่ต้องทำหนังสือแจ้งความจำนงกับทางการว่าจะเลือกตั้งก่อนแต่อย่างใด






10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี


ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก




1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง



2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี



3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว



4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ



5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ



6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล



7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%



8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย



9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด



10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้



ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!



วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ถ้าโครชอบกิน แกงเหลือง แกงเลียง แกงป่า แกงส้ม ขอแสดงความยินดีด้วยคับ…คุณมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยมาก…

แกงเหลือง
นักวิชาการโลกฟันธงแล้ว ชนิดอาหารก่อมะเร็ง
บริโภค ‘แกงเลียง’ ‘แกงเหลือง’ ต้านโรคได้
โรค ภัยที่คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกมาเป็นอันดับหนึ่งนั้นคือโรคหัวใจและหลอด เลือด โรคมะเร็งตามมาอยู่อันดับสอง หลายสิบปีมาแล้วที่วงการแพทย์ทั่วโลกพยายามหาสาเหตุของโรคมะเร็งแต่ละอวัยวะ เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไข เพื่อสรุปให้ได้ข้อชัดเจนเสียทีว่าการบริโภคหรือระบบโภชนาการของมนุษย์โลก เป็นสาเหตุของมะเร็งแต่ละชนิดได้แค่ไหน ล่าสุดหน่วยงาน เวิลด์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช ฟัน (World Cancer Research Fund) ร่วมกับ อเมริกัน อินสติติว ฟอร์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช (American Institue for Cancer Research) ได้ตัดสินและสรุปงานวิจัยกว่า 7,000 เรื่องที่ศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ของอาหาร การออกกำลังกาย ภาวะน้ำหนักเกิน และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก
ชนิพรรณ บุตรยี่ นักวิชาการจากสถาบัน โภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำงานวิจัยนี้มาบรรยายในงานประชุมเรื่อง “ความท้าทายทางพิษวิทยาในศตวรรษที่ 21” ว่า งานวิจัยใช้ระยะเวลาสรุปผล 5 ปี โดยนำงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างมากสุด ถึง 100,000 คน และบางชิ้นมีการเก็บข้อมูลนานนับ 10 ปี ใช้เงินทำวิจัยมหาศาล จึงจัดเป็นงานวิจัยที่น่าเชื่อถือและยึดเป็นข้อมูลทางวิชาการได้ ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่ชัดแล้ว โดยเน้นเรื่องการกินและการออกกำลังกายเป็นหลัก แบ่งเป็น 3 ระดับ
ข้อสรุปลำดับแรก
เป็นข้อบ่งชี้ที่แน่นอน เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอาหาร วิถีชีวิต การออกกำลังกาย สิ่งแวดล้อม โดยพบว่าการ ดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ทั้งวัยหมดประจำเดือนและก่อนมีประจำเดือน มะเร็งช่องปาก คอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (เฉพาะผู้ชาย) มีไขมันในร่างกายเกินจากค่าดัชนีมวลกายหลังจากอายุ 21 ปีไปแล้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม หลังหมดประจำเดือน มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งไต และเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากระดับไขมันที่เป็นส่วนเกินแล้วยังแยกย่อยออกมาอีกว่า คนที่อ้วนลงพุง มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้และทวารหนัก
สำหรับอาหารที่คลางแคลงใจกันมานานพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ในงานวิจัยนี้ฟันธงออกมาอย่างแน่ชัดแล้วว่าการ บริโภคเนื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว แกะ แพะ ในปริมาณที่สูงเกิน จะก่อมะเร็งลำไส้ มีคำแนะนำให้บริโภคเพียงสัปดาห์ละ ครึ่งกิโลกรัม ควร หันมาบริโภคเนื้อสีขาว อย่างเนื้อไก่ หมู หรือปลา รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก แฮม เบคอน อาหารเหล่านี้ต้อง รมควัน บางครั้งต้อง ปรุงรส ใช้เคมีเพื่อให้สี รสชาติและมวลของอาหารอยู่ครบ เป็นอาหาร ที่กินแล้วก่อมะเร็งเช่นกัน ที่น่าตกใจพบว่าการ บริโภคเบต้าแคโรทีน ในรูปแบบอาหารเสริม จะเร่งให้เกิดมะเร็ง แต่ เบต้าแคโรทีนจะให้ผลต่อร่างกายสูงสุดเมื่อ บริโภคผักผลไม้สด ๆ ที่มีสารเหล่านี้ ประเภทผลไม้สีเหลือง เช่น มะละกอ มะม่วง แครอท
ขณะเดียวกันเมื่อมนุษย์ขึ้นสู่วัยหนุ่มสาวออก กำลังกายแบบแอโรบิก ที่ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาที จนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งเต้านม (โดยเฉพาะหญิงวัยหมดประจำเดือน) และมะเร็งเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากนี้ผลวิจัยเป็นที่แน่นอนแล้วว่า แม่ควรให้นมลูกและเด็กทารกควรที่จะได้รับน้ำนมแม่ สามารถ ลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมทั้งก่อนและหลังหมดประจำเดือน ทั้งนี้ควรให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 6 เดือนโดยไม่มีการให้อาหาร หรือเครื่องดื่มใด ๆ เลย รวมทั้งน้ำด้วย
ต่อมาข้อสรุปลำดับที่ 2
เรียกว่า เป็นที่แน่นอนบ่งชัดเจน หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ในข้อนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในข้อแรกเชื่อได้ 90 เปอร์ เซ็นต์ ในข้อนี้เน้นหนักด้านอาหาร พบว่าการบริโภคผักใบ ลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งช่องปากคอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ผัก กลุ่มหอมป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร การบริโภคผลไม้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด ช่องปาก คอหอย กล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร
ลำดับที่ 3
ลด หลั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ลงมาภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือความสัมพันธ์ของอาหาร วิถีชีวิต ในข้อนี้เรียกว่ามีความเป็นไปได้พบว่าการบริโภคอาหารที่มีไลโคปีน ซึ่งมีมากในมะเขือเทศ ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก
นักวิชาการ คนเดิมจากสถาบันโภชนาการ ม.มหดิล บอกอีกว่า แม้สารไลโคปีนจะมีมากในมะเขือเทศ แต่ถ้าไม่ทำให้มะเขือป่นละเอียด บริโภคไปร่างกายก็ไม่ได้รับสารไลโคปีนอยู่ดี ดังนั้นการบริโภคมะเขือเทศสด แบบชิ้น ๆ กับการบริโภคซอสมะเขือเทศอย่างหลังได้รับ ไลโคปีนมากกว่า นอกจากในงานวิจัยเรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง นักวิชาการทั่วโลกแนะนำว่าไม่ควรบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกัน มะเร็ง เว้นแต่เจ็บป่วยหรือมีภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง
ปัจจุบัน พฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยเปลี่ยนไปโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและคนวัยหนุ่มสาว บริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ที่เห็นได้ชัดจากวัฒน ธรรมการกินอาหารบุฟเฟ่ต์ ร้านเนื้อย่างหมูกระทะต่าง ๆ สอดคล้องกับงานวิจัยนี้ ข้อแนะนำของการกินเพื่อต้านมะเร็งในแบบไทย ซึ่งแม้งานวิจัยยังไม่ได้ถูกเลือกจากนักวิชาการ เพราะเป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ตามอัตภาพของทุนที่มี แต่น่าชื่อถือและนำไปใช้ได้
ในงานประชุมดัง กล่าวข้างต้น ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล นักวิชาการจากสถาบันเดียวกัน ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง “ศักยภาพต้านมะเร็งของตำรับอาหารไทย”
ดร.สมศรี กล่าวว่า ได้ศึกษาเรื่องนำสมุนไพรต่างชนิดมาทำเป็นน้ำพริกแกงต่าง ๆ ได้ทดลองสารสกัดของน้ำพริกแกง 4 ชนิด ได้แก่
- น้ำพริกแกงป่า
- แกงเลียง
- แกงส้ม
- แกงเหลือง และ
- น้ำต้มยำ
นำมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่า น้ำแกงป่า น้ำแกงเลียง และน้ำแกงส้มมีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นในร่างกาย ได้มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่แกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่าเมื่อเทียบกัน ดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่า สมุนไพรสำคัญในเครื่องแกง น่าจะมาจากกระเทียมและพริกรวมทั้งสมุนไพรอื่นๆ
จาก งานวิจัยนี้สรุปได้ว่าการบริโภค อาหารที่เป็นสำรับแบบไทย อาทิ แกงเลียงกุ้งสด ห่อหมกใบยอ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ข้าวสวย หรือ สำรับ ข้าวเหนียว ส้มตำใส่ แครอท ไก่ทอดสมุนไพร ต้มยำ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง
สอดรับกับงานวิจัยระดับโลกที่ว่าอาหารการกินเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนห่างไกลมะเร็งได้อยู่

แกงส้มชะอมไข่กุ้งสด


ส่วนผสมเมนูแกงส้มที่ 1แกงส้มชะอมไข่กุ้งสด
ชะอม1 กำ
ไข่ไก่ 2 ฟอง
กุ้งสด 1 ขีด
ส่วนผสมพริกแกง
พริกขี้หนูแห้ง 10 เม็ด
หัวหอม 5 หัว
กระชาย 5 ราก
กะปิ 1 ช้อนตะ
มะขามเปียก 1 ขีด
ปลาสำลีแกะเนื้อ 1 ตัว



 

วิธีทำอาหาร เมนูแกงส้มที่ 1แกงส้มชะอมไข่กุ้งสด
1.โขลกเครื่องแกงทั้งหมดให้เข้ากัน ตั้งน้ำให้เดือด ใส่พริกแกงที่เสร็จแล้วลงไป 2.ปรุงรสด้วยน้ำตาลปึก น้ำปลาดี รสชาติตามชอบ
3. ตามด้วยกุ้งสดที่ผ่าหลัง ปลอกเปลือกเรียบร้อยลงไป
4.เด็ดชะอมตีผสมกับไข่ปรุงรสด้วยน้ำปลา ลงทอดยกขึ้นสะเด็ดน้ำมัน 5.แล้วหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นราดด้วยน้ำแกง ยกเสริฟ

 Cha a sour shrimp eggs.
The ingredients are sour. Cha a sour shrimp eggs.
Cha a bundle.
2 eggs.
A dash of fresh shrimp.
Curry paste mixture.
10 seed, dried chillies.
Onions, five heads.
5 Rhizome root.
1 tablespoon shrimp paste over.
Tamarind a draw.
Cotton, fish, lamb, 1.

How to cook the sour. Cha a sour shrimp eggs.
A. Pound all the spices together. The water to a boil. Curry paste is then put down. Two. Season with fish sauce and palm sugar to taste, taste good.
Three. Followed by a fresh cut on the back. Shell casings to complete.
Four. Cool Cha beat the mixture with the eggs and season with fish sauce. Fry up the drain. Five. Then cut into dices. I served it topped with relish.