วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วันภาษาไทยแห่งชาติ

วันภาษาไทยแห่งชาติ ตรงกับวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปี เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงอภิปรายเรื่อง “ปัญหาการใช้คำไทย” ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ที่มาและความสำคัญ
       ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานและทรงอภิปรายเรื่อง “ ปัญหาการใช้คำไทย ” ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทรงแสดงพระปรีชาสามารถและความสนพระราชหฤทัยห่วงใยในภาษาไทย จนเป็นที่ประทับใจผู้ร่วมประชุมครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า


" เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียง คือ ให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่า วิธีใช้คำมาประกอบประโยค นับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สาม คือ ความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้...สำหรับคำใหม่ที่ตั้งขึ้นมีความจำเป็นในทางวิชาการไม่น้อย แต่บางคำที่ง่ายๆก็ควรจะมี ควรจะใช้คำเก่าๆที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ควรจะมาตั้งศัพท์ใหม่ให้ยุ่งยาก "

รัฐบาลได้ประกาศให้วันนี้เป็นวันสำคัญ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๒

วัตถุประสงค์

คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันอังคารที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๒ เห็นชอบให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปีเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ [3]




๑. เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์ และนักภาษาไทย รวมทั้งเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ได้ทรงแสดงความห่วงใย และพระราชทานแนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย



๒. เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒



๓. เพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติให้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือร่วมใจกันทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป



๔. เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการใช้ภาษาไทย ทั้งในวงวิชาการและวิชาชีพ รวมทั้งเพื่อยกมาตรฐานการเรียนการสอนภาษาไทยในสถานศึกษาทุกระดับให้สัมฤทธิผลยิ่งขึ้น



๕. เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเผยแพร่ความรู้ภาษาไทยในรูปแบบต่างๆ ไปสู่สาธารณชนทั้งในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติ และในฐานะที่เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารของทุกคนในชาติ

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

The Rue de Siam ( ถนนสยาม )

    
       ถนนสยาม (ฝรั่งเศส: Rue de Siam) คือ ถนนที่สร้างเป็นอนุสรณ์ เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงส่งคณะทูตไทย ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2229 ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซายส์


ถนนตั้งอยู่ที่เมืองแบร็สต์ แคว้นเบรอตาญ ประเทศฝรั่งเศส



      The Rue de Siam (or Siam Street) is the main arterial street of Brest. Its name comes from the arrival of three ambassadors led by Kosa Pan, sent by the King of Siam on the 29th of June 1686 to meet Louis XIV in Versailles. They went with six mandarins, three translators, two secretaries and a retinue of servants, loaded with presents. They traveled on the boats l'Oiseau and La Maligne.


They crossed Saint-Pierre Street to go to the hostel of the same name. The inhabitants were so amazed that they renamed the street. The street was quite narrow before World War II.  The Rue de Siam is quoted by Jacques Prévert in his poem Barbara.

      LocationFrom the Place de la Liberté, in the centre of Brest, the Rue de Siam runs southwest to the Recouvrance Bridge, spanning the river Penfeld. Recouvrance is a working-class district, from old Brest, in contrast to the Rue de Siam where there were all the chic stores and cafés of Brest, in the years 1950-60.

There used to be l’Épée Café on the right and Les Antilles Restaurant on the left. Midshipmen and officers from all nationalities used to have an aperitif at l’Épée and then, cross the Rue de Siam to have supper at Les Antilles.
See alsoFrance-Thailand relations

 ReferencesThis article incorporates information from this version of the equivalent article on the French Wikipedia.

External links
Wikimedia Commons has media related to: Streets of Brest

Rue de Siam in 1900

panoramic view of the Rue de Siam

เหลืองปรีดียาธร (Tabebuia aurea )

    
     เหลืองปรีดียาธร (Silver trumpet tree, Tree of gold,Paraguayan silver trumpet tree) มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและหมู่เกาะอินดีสตะวันตก


 ลักษณะทางพฤกศาสตร์เหลืองปรีดียาธรเป็นไม้ยืนต้น ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือที่มี 5 ใบย่อย เรียงตัวแบบตรงข้ามสลับตั้งฉาก ใบรูปรี ขอบใบเรียบ มีช่อดอกแบบช่อกระจุก สมบูรณ์เพศ สมมาตรด้านข้าง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกันปลาย แยกเป็นแฉก กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง สีเหลือง ปลายกลีบแยกเป็นรูปปากเปิด ส่วนที่อยู่ด้านบนมี 2 กลีบ เกสรเพศผู้มี 4 อัน เป็นแบบ 2 คู่ยาวไม่เท่ากัน เกสรเพศเมีย 1 อัน ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 2 แฉก รังไข่เหนือวงกลีบ ผลแห้งแตก เป็นฝัก สีเทามีเส้นสีดำตามแนวยาว ออกดอกเดือนกุมภาพันธุ์-มีนาคม



     Tabebuia aurea is a species of Tabebuia native to South America in Suriname, Brazil, eastern Bolivia, Peru, Paraguay, and northern Argentina. The common English name Caribbean Trumpet Tree is misleading, as it is not native to the Caribbean. It is a small dry season-deciduous tree growing to 8 m tall. The leaves are palmately compound, with five or seven leaflets, each leaflet 6–18 cm long, green with silvery scales both above and below. The flowers are bright yellow, up to 6.5 cm diameter, produced several together in a loose panicle. The fruit is a slender 10 cm long capsule.


It is a popular ornamental tree in subtropical and tropical regions, grown for its spectacular flower display on leafless shoots at the end of the dry season.

This species is a crucial resource for Spix's Macaw (Cyanopsitta spixii), which is presently extinct in the wild with fewer than 100 birds remaining in captivity. Any future reintroduction would have to provide sufficient T. aurea for nesting and other purposes - while the tree is not considered threatened on a global scale, locally it has declined due to unsustainable use for timber



        Tabebuia aurea est une espèce d'arbre appartenant à la famille des Bignoniaceae, originaire d'Amérique du Sud (Suriname, Brésil, est de la Bolivie, Pérou, Paraguay et nord de l'Argentine).


Il s'agit d'un arbre à feuilles caduques qui atteint 8 mètres de haut.

Les feuilles, palmées et composées de 5 à 7 folioles, chacune faisant 6 à 18 cm de long, sont vertes avec des reflets argentés sur les deux faces.

Les fleurs jaunes, de 6,5 cm de diamètre, forment un panicule pendentif. Le fruit est une capsule de 10 cm de longueur.

C'est une plante d'ornement très appréciée dans les régions tropicales et subtropicales pour ses fleurs spectaculaires produites à la fin de la saison sèche.

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การครอบครู

การไหว้ครูและครอบครูของผู้ศึกษาเครื่องสายและ คีตศิลป์ ครูผู้กระทำพิธีจะทำการครอบด้วยฉิ่งที่ศีรษะ และครอบเพียงครั้งเดียว ส่วนการไหว้ครูและครอบครูสำหรับปี่พาทย์นั้นจะมีพิธีการขั้นตอนละเอียด เนื่องจากผู้เรียนปี่พาทย์จะต้อ งเรียนเพลงเถา และเพลงหน้าพาทย์ ดัง นั้นการครอบครู จึงมีพิธีการไว้เป็นระดับ ๆ ดังนี้



ขั้นที่1 การเรียนเบื้องต้น ผู้เรียนจะต้องเรียนเพลงชุดโหมโรงเย็น ที่ขึ้นต้นด้วยยเพลงสาธุการ ครูผู้ทำพิธี จะครอบด้วยการจับมือให้ตีฆ้องวงใหญ่ เพลงสาธุการ





ขั้นที่ 2 ครูผู้ครอบจะครอบด ้วยการจับมือให้ตีฆ้องวงใหญ่ เพลงตระโหมโรง แล้วให้เรียนเพลงต่างๆ ในชุดโหมโรงเย็นจนจบ





ขั้นที่3 ครูผู้ครอบจะทำพิธีด้วยการจับมือให้ตีฆ้องวงใหญ่ เพลงตระบองกัน แล้วจึง ให้เรียนเพลงต่างๆในชุดโหมโรงกลางวันจนจบ





ขั้นที่4 ครูผู้ครอบจะครอบด้วยการจับมือให้ตีฆ้องวงใหญ่ เพลงบาทสกุณี ต่อจากนั้นในขั้นนี้ ผู้เรียนจ ะต้องเรียนในเรื่องเพลงที่เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงทุกเพลงจนจบ





ขั้นที่5 ผู้เรียนจะต้องศึกษาเพลง หน้าพาทย์องค์พระพิราพเป็นขั้นสุดท้าย ซึ่งนับเป็นเพลงที่อยู่ในระดับสูงสุด และถือเป็นการนำความสิริมงคลมาสู่ ผู้ครอบ และผู้ประกอบ พิธีครอบในระหว่างประกอบพิธี ทั้งผู้ครอบและผู้ทำการครอบต้องถือเป็นเรื่องสำคัญ สูงสุดและควรระมัดระวัง และต้องปฏิบัติดังนี้









คุณสมบัติของผู้เข้ารับการครอบในขั้นนี้





1.ผู้นั้นจะต้องผ่านการครอบขั้นต้นมาแล้ว 4 ขั้นดังกล่าวแล้ว ซึ่งหมายถึงผู้เข้ารับการครอบต้องได้เรียนเพลงหน้าพาทย์ในแต่ละขั้นตอนของพิธีครอบขั้นต้นครบถ้วนแล้ว

2.ผู้เข้ารับการครอบในขั้นที่ 5 นี้ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี

3. จะต้องอุปสมบทมาแล้ว 1 พรรษา (หมายถึงได้บวชเรียนแล้ว)

4.หรือผู้นี้ได ้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว





เมื่อผ่านพิธีการครอบอย่างถูก ต้องสมบูรณ์มีคุณสมบัติดีแล้ว จึงให้ปฏิบัติในการเรียนเพลงองค์พระพิราพดังนี้





1.จุดธูปเทียน และดอกไม้เพื่อบูชาองค์พระพิราพก่อนที่จะเริ่มต้นเพลง

2.ครูผู้กระทำพิธีจับมือศิษย์ให้ตีฆ้องวงใหญ่ทำนองเพลงตอนขึ้นต้นองค์พระ 3 ครั้ ง

3.ควรต่อเพลงหรือทบทวนเพลงในวันพฤหัสบดี



เพื่อความเป็นสิริมงคลของทั้งผู้กระทำพิธี และผู้เข้าร่วมในพิธี จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ และต้องระลึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ ของพิธีการโดยเคร่งครัดด้วย



ครอบครูวันพฤหัสบดี ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2554
ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรั กรุงเทพมหานคร




วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เครื่องดื่มยอดนิยม

น้ำอัดลม


"น้ำอัดลม" หรือที่รู้จักกันดีว่า "น้ำขวด" จัดได้ว่าเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ก็ชื่นชอบด้วยกันทั้งนั้น ในปัจจุบันนี้มีให้เลือกดื่มหลากหลายรสชาติ

ยิ่งในช่วงที่อากาศร้อน ๆ ด้วยแล้ว ถ้าได้ดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ สักขวดคงพอเรียกความสดชื่นกลับคืนมาได้ แต่ก็มีบางคนที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จนแทบจะดื่มแทนน้ำเปล่ากันเลย แล้วคุณที่ชอบดื่มน้ำอัดลมรู้หรือเปล่าคะว่า น้ำอัดลมมีอยู่กี่ประเภท ?

น้ำอัดลมมีอยู่ 2 ประเภทคือ ประเภทเติมคาเฟอีน เช่น โคล่า ซึ่งแบ่งย่อยไปอีกเป็นชนิดที่ใช้น้ำตาลเป็นสารให้ความหวาน และชนิดที่ใช้สารทดแทนความหวาน เช่น แอสปาเทม แบบนี้จะเรียกกันว่าน้ำอัดลมประเภทไดเอ็ท คนอ้วนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักมักจะซื้อแบบหลังนี้มาดื่ม

น้ำอัดลมอีกประเภทคือไม่มีคาเฟอีน ได้แก่พวกน้ำอัดลมที่มีสีใส และเติมหัวเชื้อกลิ่นน้ำผลไม้ต่าง ๆ ทีได้จากการสังเคราะห์

การดื่มน้ำอัดลมบ่อย ๆ ไม่ค่อยจะมีประโยชน์ต่อร่างกายเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าในน้ำอัดลม จะมีน้ำตาลอยู่เพียงประมาณร้อยละ 10 แต่ถ้าคุณดื่มกันทุกวัน หรือดื่มทุกมื้ออาหาร ก็ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากโดยไม่จำเป็น

อีกทั้งก๊าซที่บรรจุลงในขวดน้ำอัดลม ก็ทำให้เกิดอาการแน่นท้องหรือท้องอืด แถมกรดคาร์บอนิคที่เกิดในน้ำอัดลมจะเข้าไปกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุได้ ขณะที่คาเฟอีนที่มีอยู่ในน้ำอัดลมบางชนิดจะไปกระตุ้นสมอง อาจทำให้ผู้ดื่ม (ที่ค่อนข้างไวต่อคาเฟอีน) เกิดใจสั่นและหวดศีรษะได้

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วัฒนธรรมในประเทศฝรั่งเศส


ชาวฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการนอนกลางวัน จึงส่งผลให้ประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสชอบนอนกลางวันตามไปด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนลึกของวัฒนธรรม คล้ายคลึงกับของอังกฤษและอิตาลีอยู่ แล้ว ไม่สามารถแบ่งได้ชัดเจนเด่นชัด เช่น การจับมือ ภาษา เป็นต้น


ในฝรั่งเศสมี 4 ฤดูกาล


1.ฤดูใบไม้ผลิ จะเริ่มราววันที่ 21มีนาคม - 21 มิถุนายน ฤดูนี้อากาศดีมาก ต้นไม้ผลิดอกสวยงามมาก


2.ฤดูร้อน จะเริ่มราวๆ วันที่ 22 มิถุนายน - 22 กันยายน อากาศดีและร้อน เป็นฤดูแห่งการพักผ่อน ในเดือนสิงหาคม โรงงาน ร้านค้า มักจะหยุดให้พนักงานพักผ่อน ผู้คนนิยมไปทะเล


3.ฤดูใบไม้ร่วง จะเริ่มราวๆ วันที่ 23 กันยายน - 23 ธันวาคม อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทา ฝนเริ่มตั้งเค้า ลมพัดแรง ใบไม้ผลัดใบทิ้งเพื่อรอรับฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามา


4.ฤดูหนาว จะเริ่มจากวันที่ 23 ธันวาคม - 23 มีนาคม อากาศหนาวจัดหิมะตก ไม่มีใบไม้เหลือบนต้นไม้เลย

ผลไม้ที่นิยมปลูกในฝรั่งเศส

องุ่นเป็นผลไม้ที่มีมาในสมัยโบราณของยุโรป แต่ในปัจจุบันองุ่นสามารถปลูกได้ลักษณะอากาศทั่วไป องุ่นในฝรั่งเศสมี 3 ประเภท


1.Raisins de table เป็นองุ่นที่ปลูกเพื่อใช้รับประทานสดมีมากมาย นิยมปลูกมากคือ องุ่นแดง บางชนิดเกือบดำรสหวาน องุ่นขาวปนเขียวเป็นองุ่นที่มีรสหวานจัด


2.Raisins de cuve เป็นองุ่นที่ปลูกเพื่อทำเหล้าองุ่น มีทั้งชนิดสีดำ,แดง,ขาว และเขียว นอกจากนั้นกกากองุ่นที่เหลือจากการทำเหล้าสามารถทำนำส้มสายชูได้


3.Raisins secs เป็นองุ่นที่ใช้ทำลูกเกดลักษณะคล้ายองุ่นที่ทำเหล้าแต่นำตาลสูง ขนาดผลเล็กไม่มีเมล็ด ไม่นิยมใช้ทำเหล้าเพราะหวานจัด จึงนิยมนำมาทำผลไม้อบแห้ง


กีฬาในฝรั่งเศส

สำหรับกีฬาในฝรั่งเศสที่นิยมเล่นกันมากคือ กีฬาเปตอง ซึ่งเริ่มเป็นกีฬาของแคว้น Midi ภาคใต้ของฝรั่งเศส ในฝรั่งเศสมีสถานที่เล่นสกี จะเล่นอยู่ในแถบภูเขา Alpes การเล่นสกีต้องมีครูฝึกสำหรับคนที่ไม่เคยเล่นมาก่อน ผู้เล่นสกีต้องนั่งกระเช้าสกีซึ่งพาคุณ บนภูเขาเพื่อเล่นสกี

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วันครู

วันครูของประเทศไทยวันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษาและวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุม จรรยาและวินัยของครูรักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัว ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู




ด้วยเหตุนี้ในทุกปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และชักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคียาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา



ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า



"ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณ เป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมี สักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพ สักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับ คนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละ ทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"



จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆ ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึก ถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดี เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมากในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอ คณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริม ความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน



การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างเป็นถาวรวัตถุ



การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบ การจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3 ประเภทหลักดังนี้



กิจกรรมทางศาสนา

พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์

กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น

นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลครูดีเด่นประจำปี มอบของที่ระลึกให้ครูอาวุโสนอกและในประจำการจรรยา

Teachers' Day

   In some countries, Teachers' Days are intended to be special days for the appreciation of teachers. World Teachers' Day is celebrated across the world on October 5. Ever since the importance of teachers has been recognized by UNESCO, by adopting the “Recommendation concerning the status of teachers”, World Teachers' Day has been celebrated annually. This includes celebrations to honor the teachers for their special contribution in a particular field area or the community in general

History

The idea of celebrating Teacher's Day took ground independently in many countries during the XX century; in most cases, they celebrate a local educator or an important milestone in education (for example, Argentina celebrates Domingo Faustino Sarmiento's death on September 11 since 1915, while India celebrates Sarvepalli Radhakrishnan's birthday on September 5 since 1962). These two factors explain why almost all countries celebrate this day on different dates, unlike many other International Days.